ทูเดย์อินชัวร์ จำหน่าย ประกันภัยรถยนต์ ราคาถูก
สำหรับสมาชิก todayinsure.com ระบบงาน TodayInsure C.R.M. หมายเลขใบอนุญาตของ TodayInsure: 5104006215
ขณะนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัตหน้าที่อยู่ โทรหาเรา (02) 952-7322, (086)378-9671 หรือ email: sales@todayinsure.com

ข่าวประกันภัยทั่วไป

3 ค่าย ประกันภัย จ้องซื้อหุ้นดัชนีต่ำ 1,200 จุด ชิงเก็บกลุ่มปันผลดี

ช่วงที่หุ้นกลุ่มที่จ่ายเงินปันผลมีราคาปรับตัวลงมาค่อนข้างต่ำ เป็นจังหวะที่ดีที่บริษัท ประกันภัย ทยอยเข้าไปซื้อเพิ่มขึ้น จังหวะราคาถูก ควรเข้าลงทุน

3 ค่าย ประกันภัย จ้องซื้อหุ้นดัชนีต่ำ 1,200 จุด ชิงเก็บกลุ่มปันผลดี

กุมภาพันธ์
5

เปิดมุมมอง 3 นักลงทุนสถาบันเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นไทย จ้องซื้อ "หุ้นปันผล-หุ้นต่ำพื้นฐาน" ค่ายกรุงเทพประกันภัยรอจังหวะหุ้นร่วงต่ำ 1,200 จุด พร้อมเท 400 ล้านบาทช้อนทันที เชื่อ 6-12 เดือนสถานการณ์กลับคืนปกติ ดันหุ้นฟื้นตัวเร็ว ฟากเมืองไทยประกันภัยเน้นซื้อเก็บระยะยาว เล็ง "แบงก์-พลังงาน-สื่อสาร" กองทุนประกันสังคมเพิ่มลงหุ้น 3 หมื่นล้าน

แม้ดัชนีตลาดหุ้นไทย ภาพรวมตลาดหุ้นไทยไม่สดใสเสียเลย แต่กระนั้นก็ถือเป็นจังหวะที่ดี หากจะเข้าลงทุนด้วยราคาหุ้นที่ต้นทุนไม่สูงนัก โดยเฉพาะนักลงทุนกลุ่ม "สถาบัน" ที่ยังมี "กระสุน" อยู่พร้อม หลังจากเมื่อสิ้นปีก่อนนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 1,869.70 ล้านบาท และล่าสุดนักลงทุนกลุ่มนี้ซื้อสุทธิ 759.80 ล้านบาท

กรุงเทพประกันภัย ทยอยซื้อรับดัชนีหลุด 1,200

ประธานคณะผู้บริหาร บมจ.กรุงเทพประกันภัย (BKI) อีกหนึ่งผู้บริหารการลงทุนรายใหญ่ ที่มีมูลค่าเงินลงทุนในหุ้นกว่า 2.09 หมื่นล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 65% ของพอร์ตลงทุนรวม กล่าวว่า ดัชนีที่ปรับตัวลดลงมาตั้งแต่ต้นปีนั้น ได้ส่งผลกระทบทำให้มูลค่าพอร์ตปรับตัวลดลงไปราว 15% โดยมองว่าดัชนีมีโอกาสปรับลดลงไปได้ต่ำกว่า 1,200 จุด โดยมีแรงกดดันหลักจากปัจจัยการเมือง โดยเฉพาะช่วงก่อนวันเลือกตั้ง คาดว่าดัชนีจะลงไปอยู่ที่ราว 1,170-1,180 จุด ดังนั้นในระหว่างนี้บริษัทก็มีเงินเตรียมพร้อมที่จะเข้าไปทยอยช้อนซื้อหุ้นเพิ่มได้ทันทีราว 400 ล้านบาท

สำหรับกลุ่มหุ้นที่สนใจนั้น เน้นกลุ่มที่ให้เงินปันผลสูง เช่น กลุ่มพลังงาน ผลิตไฟฟ้า น้ำมัน น้ำประปา เพราะผู้คนยังต้องกินต้องใช้ รวมถึงหุ้นที่น่าจะได้ประโยชน์ในจังหวะนี้ อย่างรถไฟฟ้า และทางด่วน นอกจากนี้หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล และท่องเที่ยว อาจจะได้รับผลกระทบบ้างในช่วงนี้ แต่ก็เป็นจังหวะราคาถูก และควรเข้าลงทุน เพราะเมื่อเหตุการณ์จบ หุ้นกลุ่มนี้จะฟื้นตัวได้เร็ว

"ตอนนี้หุ้นที่ทุกคนกลัว เรากลับมองว่าน่าสนใจ เพราะเรามองว่าลงทุนยาว ในอีก 6-12 เดือนสถานการณ์น่าจะฟื้นตัวกลับมาได้แล้ว เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังมีของดีอยู่เยอะ"

เมืองไทยประกันภัย จ่อซื้อถือยาว

เช่นเดียวกันกับอีกหนึ่งผู้บริหารพอร์ตลงทุนของบริษัท ประกันภัย กรรมการรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.เมืองไทยประกันภัย กล่าวว่า ในช่วงที่หุ้นกลุ่มที่จ่ายเงินปันผลมีราคาปรับตัวลงมาค่อนข้างต่ำ เป็นจังหวะที่ดีที่บริษัททยอยเข้าไปซื้อเพิ่มขึ้น ขณะที่ช่วงนี้เป็นจังหวะที่บริษัทจดทะเบียนทยอยปิดบัญชีปี 2556 ก็น่าจะเข้าไปซื้อหุ้นปันผล โดยสนใจหุ้นกลุ่มที่มีพื้นฐานดี และสามารถถือยาวได้ โดยจะเฉลี่ยซื้อในทุกกลุ่มหลัก ทั้งธนาคาร พลังงาน และสื่อสาร

"นโยบายการบริหารพอร์ตลงทุนของเรา จะเน้นซื้อและถือยาว ขายออกค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะในภาวะตลาดเช่นนี้ จึงต้องเน้นกลุ่มที่มีปันผลเป็นหลัก ซึ่งสนใจทั้งการเข้าไปซื้อหุ้นโดยตรง และลงทุนในกองทุนหุ้น หรือกองทุนที่มีสินทรัพย์หนุนหลัง อย่างกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเตรียมเงินไว้แล้วราว 200-300 ล้านบาท"

จากต้นปี 2557 ดัชนีหุ้นย่อตัวลงราว 10% ทำให้มูลค่าหุ้นในพอร์ตปรับลดลงมาในสัดส่วนเดียวกัน ทำให้บริษัทยังมีช่องที่จะเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มเติมได้ โดยยังสามารถคุมสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไว้ให้อยู่ในระดับ 24-25% เช่นเดิม จากมูลค่าพอร์ตลงทุนทั้งหมดกว่า 7 พันล้านบาท

กองทุนประกันสังคมเพิ่มลงหุ้น

ด้านหัวหน้ากลุ่มงานลงทุน และรองโฆษกสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวว่า ตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นปรับตัวลงแรง กองทุนฯ ได้เข้าไปซื้อหุ้นเก็บเข้าพอร์ตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลุ่มที่สนใจ เช่น หุ้นที่มีปันผล และหุ้นที่มีพื้นฐานดี โดยปกติกองทุนฯ จะมีการทำเป้าหมายของราคาหุ้นที่เหมาะสมของตัวที่สนใจลงทุนไว้อยู่แล้ว หากราคาหุ้นตัวใดได้ปรับลงมาถึงระดับเป้าหมายดังกล่าว ก็จะเข้าไปลงทุนเพิ่มทันที

ปัจจุบันกองทุนฯ มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ 9% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 9 หมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งมีโอกาสสูงที่ทางกองทุนฯ จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในส่วนของหุ้นไทยเพิ่มขึ้นอีก 3% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท โดยมองหุ้นกลุ่มที่สนใจไว้หลัก ๆ ได้แก่ กลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มธุรกิจที่ยังมีแนวโน้มการเติบโตดี

"การคัดเลือกหุ้นของกองทุนฯ ในช่วงนี้จะมาจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงต่ำกว่าพื้นฐานที่เป็นจริง หลังเจอผลกระทบจากการเมืองที่ยืดเยื้อ และส่อเค้ารุนแรง และเงินต่างชาติที่ไหลออก กลุ่มที่ราคาหุ้นลงแรง ๆ ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มพลังงาน และ 2.หุ้นกลุ่มที่พื้นฐานแข็งแกร่ง เนื่องจากทำธุรกิจที่มีความจำเป็นต้องกินต้องใช้ เช่น กลุ่มการแพทย์ อาหาร พาณิชย์ และกลุ่มสื่อสาร ถึงแม้เศรษฐกิจปีนี้จะชะลอตัว แต่ผลประกอบการของธุรกิจจำพวกนี้ก็ยังสามารถเติบโตได้"

ส่วนผลตอบแทนการลงทุนของกองทุนฯ ปีนี้ คาดว่าคงจะทำได้ใกล้เคียงกับปี 2556 ที่ทำได้ 4.5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมองว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยคงจะไม่ดีมากนัก

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ