รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในปี 2557 ว่า ตั้งเป้าเติบโตพอเพียงประมาณ 10% ซึ่งการที่ปีนี้ตลาด รถยนต์ ชะลอตัวลง บริษัทฯ ได้ถือโอกาสปรับพอร์ต ประกันรถยนต์ ใหม่จากเดิมเน้น รถยนต์ ใหม่ป้ายแดงผ่านไฟแนนซ์ จะหันมาขยายงานผ่านนายหน้า ประกันภัย (โบรกเกอร์) มากขึ้น ทั้งป้ายแดงและ รถยนต์ ปีสอง และสามขึ้นไป รวมถึงออกสินค้าใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น ยิ่งกว่านั้นจะปรับคุณภาพด้านบริการ โดยปรับระบบการทำงานเพื่อให้กระบวนการต่างๆ ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการทำเคลม ประกันภัยรถยนต์ นอกเหนือจากการจ้างเอาต์ซอร์ส มาทำเคลม ประกันภัยรถยนต์ ให้

ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการกล่าวเสริมว่า บริษัทลงทุนซื้อระบบไอทีใหม่เรียกว่า K2 จากบริษัท เมโทรซิสเต็มส์ เป็นระบบอนุมัติสินไหมอัตโนมัติ (อี-เคลม) ซึ่งหากเสร็จสมบูรณ์จะเปลี่ยนกระบวนการทำงานทั้งหมด ไปเป็นแบบไร้กระดาษ (Paperless) ทำให้การทำเคลมง่ายขึ้น จัดการเอกสารต่างๆ ได้เร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น พนักงานและลูกค้าจะรู้ทันทีกระบวนการเคลมไปถึงไหน อย่างไร รวมไปถึงช่วยจัดเก็บอะไหล่มือสองที่ยังใช้งานได้อยู่ และช่วยลดต้นทุน

"นำระบบเข้ามาช่วยบริหารแบ็ก ออฟฟิศ เพื่อให้การทำงานโดยเฉพาะเคลมมีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบใหม่คาดว่าจะเสร็จมีนาคม และจะเริ่มเทสต์กับ ประกันภัยรถยนต์ ก่อน เพราะเป็นพอร์ตหลักของเรา โดยเฉพาะป้ายแดง ซึ่งเรามีสัดส่วนถึง 80% ระบบใหม่จะสามารถจัดการเคลม ประกันภัยรถยนต์ ที่เกิดขึ้น 200 เคลมต่อวัน หรือ 70,000-100,000 เคลมต่อปี ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพบริการ และจะไปพัฒนาถึงขั้นช่วยขาย ออกกรมธรรม์ ประกันภัยรถยนต์ ได้ด้วย"

ในปี 2557 ยังเน้น ประกันภัยรถยนต์ชั้น1 อยู่ แต่จะหันไปขยายกลุ่ม รถยนต์ ตั้งแต่ปีสองขึ้นไปมากขึ้น เพราะมั่นใจหากกำลังซื้อ หรือตลาดกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เจ้าของ รถยนต์ ต้องทำ ประกันภัยรถยนต์ชั้น1 ขณะเดียวกันจะขยาย ประกันภัยรถยนต์ 2+ และ 3+ (2 พลัส, 3 พลัส) จากเดิมมี ประกันภัยรถยนต์ชั้น1 ประมาณ 80% อีก 20% เป็น 2 พลัส และ 3 พลัส ปัจุบัน ประกันภัยรถยนต์ชั้น1 ลดลงเหลือ 70% และประเภทพลัสขยับขึ้นเป็น 30% โดย รถยนต์ เกิน 5 ปีขึ้นไป จะทำ 2+ และ 3+ มากขึ้น

สำหรับผลงานในปีนี้ บริษัทฯ น่าจะทำได้ไม่ถึงเป้าหมาย คาดว่าจะมีเบี้ย ประกันภัย รับประมาณ 1,400 ล้านบาท ลดลง 20% เทียบกับเป้าหมาย 1,600 ล้านบาท เนื่องจาก ประกันรถยนต์ ที่ตั้งเป้าไว้ 1,200 ล้านบาท แต่น่าจะทำได้เพียง 900-1,000 ล้านบาท ลดลง 10% เศษ เนื่องจากยอดขาย รถยนต์ ลดลง และภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ลูกค้าต่ออายุประมาณ 20% ส่วนใหญ่อยู่ในโครงการ รถยนต์ คันแรก เปลี่ยนจาก ประกันภัยรถยนต์ชั้น1 มาเป็น 2 พลัส 3 พลัสมากขึ้น เพราะประหยัดเบี้ย ประกันภัย ได้ถึง 30%

อย่างไรก็ดี หลังจากปรับอัตราเบี้ย ประกันภัยรถยนต์ชั้น1 รถยนต์ ขนาดเล็กเพิ่มขึ้นประมาณ 5-10% และการมี 2 พลัสและ 3 พลัสมากขึ้น ทำให้สินไหมทดแทน (Loss Ratio) ดีขึ้นอยู่ที่ 68% จากเดิม 69-70% เศษ เพราะ ประกันภัยรถยนต์ 2 พลัส, 3 พลัส สินไหม 60% ต่ำกว่า ประกันภัยรถยนต์ชั้น1 ที่สูงถึง 67-68% ทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้น

"ตลาด รถยนต์ ปีนี้ดาวน์ลง อยู่ในภาวะตึงตัว เชื่อว่าเป็นทิศทางเดียวกันทั้งตลาด ลูกค้าเปลี่ยนจาก ประกันภัยรถยนต์ชั้น1 มาเป็น 2+ และ 3+ ปีหน้ายังเป็นอย่างนี้อยู่ ตลาด รถยนต์ น่าจะซึมไปอีกหนึ่งไตรมาส ถ้าการเมืองยังเป็นอย่างนี้อยู่"

ด้านรองกรรมการผู้จัดการกล่าวเสริมว่า ขณะนี้ตลาด รถยนต์ อยู่ในภาวะ switching period เป็นช่วงที่กำลังซื้อยุบตัวอย่างรุนแรง เนื่องจากมีการซื้อ รถยนต์ มากเกินไป ใช้ดีมานด์ไปล่วงหน้ามากเกินกว่าของจริง ช่วงที่กำลังซื้อหดตัว ลูกค้ามีกำลังจ่ายเบี้ย ประกันภัยรถยนต์ ไม่ถึง 10,000 บาท บริษัทได้ออก 2 พลัส และ 3 พลัสมารองรับลูกค้าที่จะเปลี่ยนจาก ประกันภัยรถยนต์ชั้น1 มาทำ ประกันภัยรถยนต์ประเภทนี้ เพราะเบี้ย ประกันภัย ถูกกว่า ขณะที่บริษัท ประกันภัย ชอบขายสินค้ากลุ่มนี้ เพราะลูกค้าจะเคลมเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

"switching period เบี้ยที่ได้ลดลง แต่สินไหมในอนาคตลดลงด้วย เพราะ 2 พลัสและ 3 พลัส คุ้มครองการชนที่มีคู่กรณีเท่านั้น ทำให้คอมมิสชั่นลดลงด้วย เป็นโอกาสให้เราเตรียมพร้อมหลังบ้าน หากเศรษฐกิจขยายตัว กำลังซื้อ ประกันภัยรถยนต์ชั้น1 กลับมา ตอนนี้เราพัฒนาระบบบริการให้เป็นคลังข้อมูลสินไหม ช่วยให้การเคลมง่ายขึ้น กระทั่งวัดคุณภาพงานจากช่องทางต่างๆ ได้ วันนี้เราพัฒนา 3 อย่างคือ ซอฟต์แวร์ คน และต่อยอดไปถึงให้เงินถึงลูกค้าเร็ว"

ที่มา : สยามธุรกิจ