ทูเดย์อินชัวร์ จำหน่าย ประกันภัยรถยนต์ ราคาถูก
สำหรับสมาชิก todayinsure.com ระบบงาน TodayInsure C.R.M. หมายเลขใบอนุญาตของ TodayInsure: 5104006215
ขณะนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัตหน้าที่อยู่ โทรหาเรา (02) 952-7322, (086)378-9671 หรือ email: sales@todayinsure.com

ข่าวประกันภัยทั่วไป

ประกันภัยรถยนต์ แนวรบเปลี่ยน ประเภท 2+ 3+ บูม

พิษ ศก.บีบลูกค้าซื้อเบี้ยต่ำ/บ.หนี ประกันภัยรถยนต์ ชั้น1 ขาดทุนยับ 2+ และ 3+ สามารถตอบโจทย์

ประกันภัยรถยนต์ แนวรบเปลี่ยน ประเภท 2+ 3+ บูม

มิถุนายน

15

การแข่งขันในตลาด ประกันภัยรถยนต์ ภาคสมัครใจ นอกจาก ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ที่ดุเดือดมาตลอดแล้ว ยังมี ประกันภัย 2+ และ 3+ ที่มีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ผู้บริโภครัดเข็มขัดทุกด้าน หันมาซื้อประกันที่มีเบี้ย ประกันภัย ต่ำมากขึ้น โดย 2+ และ 3+ สามารถตอบโจทย์ได้ เพราะนอกจากเบี้ย ประกันภัย จะถูกกว่าชั้น1 มากแล้ว ความคุ้มครองยังใกล้เคียงกัน อีกทั้ง ประกันภัยรถยนต์ชั้น1 อยู่ในภาวะขาดทุนเพราะตัดราคากันหนักมาก สวนทางกับอัตราสินไหม (Loss Ratio) ที่สูงขึ้นเรื่อยเรื่อยๆ เทียบกับ 2+ และ 3+ ที่ยังมีกำไรดีกว่ามาก ดึงดูดบริษัท ประกันภัย ต่างๆ เปิดเกมบุกหนัก โดยเฉพาะ 2+

“วิริยะ” ชี้ ศก.เอื้อ 2+ 3+ โต งัดจุดแข็งสินไหม-ตั้งบูธขายในห้าง

รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.วิริยะประกันภัย เปิดเผยว่า ในปีนี้ บริษัทมีนโยบายขยายทั้ง ประกันภัย 2+ และ 3+ มากขึ้น เนื่องจากยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมากและ Loss Ratio ไม่สูงเหมือน ประกันรถยนต์ ชั้น1 เห็นได้จากผลงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาที่เริ่มทำตลาดกลุ่มนี้อย่างจริงจัง เบี้ย ประกันภัย และจำนวนกรมธรรม์ที่เพิ่มขึ้นทุกปี ทั้งลูกค้าเก่าและใหม่ที่ตอบรับมากขึ้น

โดย ประกันภัยรถยนต์ 3+ ของบริษัทมีเบี้ย ประกันภัย เริ่มต้น 6,600-7,700 บาท คุ้มครองความเสียหายต่อ รถยนต์ กรณีชนกับยานพาหนะทางบก (ทุนประกัน) เดิมวงเงิน 100,000-200,000 บาท ขณะที่ 2+ เบี้ย ประกันภัย เริ่มต้น 7,700 บาท ทุน ประกันภัย ตั้งแต่ 100,000-300,000 บาท

“ตัว 2+ และ 3+ เราพัฒนาขึ้นเพื่อมารองรับลูกค้า รถยนต์ ที่ทำชั้น 1 มาหลายปีแล้ว พออายุ รถยนต์ มากขึ้นไม่สามารถทำชั้น 1 ได้ อีกทั้ง รถยนต์ มีมูลค่าลดลงด้วย การทำชั้น 1 ไม่คุ้มเพราะเบี้ยสูง แต่ก่อนคนที่คิดว่าวิริยะฯ ทำแต่ชั้น 1 ไม่ทำ 2+ และ 3+ พอเริ่มมาเล่นก็สื่อสารผ่านตัวแทน นายหน้า สถาบันการเงินต่างๆ ทำให้มีลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ Loss Ratio ก็พออยู่ได้ ไม่เหนื่อยเหมือนชั้น 1”

กลยุทธ์หลักของบริษัท จะมุ่งแข่งขันด้านบริการไม่แข่งขันด้านราคาเบี้ย ประกันภัย ต่ำ โดยเฉพาะสินไหมทดแทนที่เป็นจุดขาย ทั้งพนักงานสำรวจอุบัติเหตุ (เซอร์เวเยอร์) ต้องไปถึงที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด จากเดิมกำหนดภายใน 20 นาทีสำหรับในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ให้ปรับลดลงเหลือต่ำกว่า 20 นาที โดยเริ่มจากกรุงเทพฯ ก่อน เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความถี่ในการเกิดอุบัติเหตุสูง ขณะเดียวกันการชดใช้สินไหมทดแทนต้องรวดเร็วและเป็นธรรม รวมไปถึงมาตรฐานด้านการซ่อมต่างๆ ด้วย ซึ่งบริการที่ดีด้านสินไหมทดแทนจะทำให้ลูกค้าเกิดการบอกต่อกันแบบปากต่อปาก ช่วยขยายตลาดได้

ยิ่งกว่านั้น ยังจะขยายช่องทางจำหน่ายมากขึ้น โดยจะขยายการเปิดบูธขึ้นในห้างสรรพสินค้าให้มากขึ้น จากปัจจุบันมีอยู่แล้วตามห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ขณะที่ช่องทางออนไลน์ที่เปิดให้บริการอยู่ ส่วนใหญ่ลูกค้าจะเข้ามาเช็คราคาเบี้ยมากกว่า ยังไม่ค่อยซื้อ ประกันภัย ซึ่งในอนาคตคงจะขยายมากขึ้น

“ตลาด 2+ และ 3+ โดยรวมในปีนี้ยังจะโตได้อีก เพราะ รถยนต์ เสื่อมมูลค่าลงทุกปี ลูกค้าจะเลือกทำ 2+ และ 3+ มากกว่า อีกทางหนึ่งที่สอดรับกับภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ซึ่งลูกค้ามีกำลังซื้อน้อยลงด้วย เชื่อว่าการแข่งขันในเรื่องราคาในตลาด 2+ และ 3+ ในปีนี้จะรุนแรง เพราะทุกคนอยากได้เบี้ยชั้น 1 ก็เหมือนกัน”

ชี้ทุกค่ายชิงเค้ก 2+ เพราะมีกำไร “กรุงเทพ” ชูคุ้มภัยน้ำท่วมโกย 400 ล.

ด้าน บมจ.กรุงเทพประกันภัย ก็ประกาศชัดเจนถึงแผนธุรกิจในปีนี้จะขยาย ประกันภัย 2+ มากขึ้น โดย กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กล่าวว่า โดยภาพรวมของตลาด ประกันภัย 2+ ว่า เป็นทิศทางที่ทุกบริษัทจะขยายเข้ามาเนื่องจาก Loss Ratio อยู่ที่ 50% กว่าๆ มีกำไร เมื่อเทียบกับ ประกันภัยรถยนต์ ชั้น1 อยู่ที่ 70% อยู่ในภาวะไม่มีกำไร อีกทั้งด้วยภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ด้วย ลูกค้าจะมองเบี้ย ประกันภัย ต่ำเป็นหลัก โดย 2+ เบี้ย ประกันภัย อยู่ที่ประมาณ 6,000-8,000 บาท เทียบกับชั้น 1 เบี้ยประกันเกิน 10,000 บาท

“2 + คอนโทรล Loss ได้ด้วย เพราะคุ้มครองรถชนรถ ไม่ได้คุ้มครองการชนไม่มีคู่กรณี พวกเคลมเล็กเคลมน้อย รอยขีดข่วนต่างๆ สามารถลดต้นทุนอื่นๆ เช่น การไปตรวจสภาพรถเวลาเกิดเคลมได้ ทำให้ต้นทุนในการบริหาร 2+ ต่ำกว่าชั้น 1 อีกทั้งการคุ้มครองรถชนรถก็จำกัดวงเงินคุ้มครองอยู่ไม่สูงเหมือนชั้น 1 ด้วย ทำให้ทุกคนหันมาเล่นตลาด 2+ รวมไปถึง 3+ การที่ทุกคนหันมาเล่นก็จะใช้กลยุทธ์ด้านราคา ซึ่งจะทำให้เบี้ย 2+ ต่ำลงเรื่อยๆ ที่เห็นในตอนนี้ราคาเบี้ยต่ำสุดอยู่ที่ 5,900 บาท คุ้มครองรถชนรถ 100,000 บาท การแข่งราคาต่ำจะทำให้ 2+ กำไรบางลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะซ้ำรอยชั้น 1”

ในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายเบี้ย ประกันภัย 2+ ประมาณ 400 ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 10% เทียบกับในปีที่ผ่านมามีเบี้ย ประกันภัย 312 ล้านบาท โดยยังคงยึดนโยบายออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีความคุ้มครองตามความสามารถในการชำระเบี้ย ประกันภัย ของลูกค้า ซึ่งจะมีให้เลือกหลายราคาตามความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มมากขึ้น อย่างประกัน 2+ ให้ลูกค้าสามารถซื้อ ประกันภัย ในลักษณะเฟิร์ส ลอสส์ คือคุ้มครองแค่ทุนประกันบางส่วน อาจจะแค่ 100,000-200,000 บาท เพื่อให้จ่ายเบี้ยถูกลง

โดย 2+ ของบริษัท ทุน ประกันภัย 100,000 บาท มีความคุ้มครองภัยธรรมชาติเพิ่มให้ด้วย อาทิ ภัยน้ำท่วม เบี้ย ประกันภัย อยู่ที่ประมาณ 8,000 กว่าบาท หากลูกค้าไม่ต้องการความคุ้มครองภัยธรรมชาติ เบี้ย ประกันภัย จะลดลงเหลือประมาณ 7,000 กว่าบาท อีกทั้งยังคุ้มครองภัยก่อการร้ายด้วย ซึ่งบริษัทจะเสนอจุดขายความคุ้มครองทั้งภัยธรรมชาติและก่อการร้ายมากขึ้น ซึ่งก็เข้ากับสถานการณ์ในขณะนี้ ยิ่งกว่านั้นยังมีสิทธิประโยชน์พิเศษต่างๆ ที่เพิ่มให้กับลูกค้า เช่น หากต้องการติดตั้งระบบเทเลเมติคส์ (Telematics) บริษัทก็จะติดตั้งให้ฟรี รวมถึงบริการเสริมอื่นๆ เช่น ความช่วยเหลือฉุกเฉิน เป็นต้น

“ตลาดโดยรวมของ 2+ คงจะแข่งขันในเรื่องราคากันรุนแรงมากอย่างที่บอก ภาวะเศรษฐกิจทำให้ลูกค้ามองราคาเป็นปัจจัยในการทำประกัน ขณะเดียวกันลูกค้าที่ทำชั้น 1 อยู่ จะเปลี่ยนไปทำชั้น 2+ มากขึ้น ปีที่แล้ว 2+ เราโตขึ้น 5% ขณะที่ชั้น 1 เราติดลบ 5% เรายังเชื่อจะโตได้เพราะอย่างเป้าหมายเบี้ย 400 ล้านบาทของ 2+ ก็มีสัดส่วนแค่ 8% ในเบี้ย รถยนต์ ทั้งหมดของเรา ที่มีอยู่ประมาณ 7,000 ล้านบาท ส่วน 3+ ก็มีเบี้ยอยู่แค่ 75 ล้านบาท”

“แอกซ่า” ออกสินค้าใหม่เบี้ย 6,300 เปิดนวัตกรรมให้ตัวแทนขายคล่อง

ด้าน กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.แอกซ่าประกันภัย เปิดเผยว่า บริษัทเพิ่งเปิดตัวสินค้าใหม่ “แอกซ่า มอเตอร์ 2+ ซุปเปอร์เซฟ“ เพื่อตอบสนองลูกค้าที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย และสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยมีค่าเบี้ย ประกันภัย เริ่มต้น 6,300 บาท คุ้มครองทั้งรถชน สูญหายและไฟไหม้ โดยสามารถเลือกทุน ประกันภัย ได้สูงสุด 300,000 บาท คุ้มครองอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติมมาตรฐานสูงสุดถึง 10,000 บาท/ครั้ง ไม่มีค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนฟรีอีกด้วย

“เราพบว่าตลาด ประกันภัยรถยนต์ ที่ไม่ใช่ชั้น 1 รวมถึง 2+ โตขึ้นเรื่อยๆ ของเราก็โตขึ้น 2 เท่า ภาวะเศรษฐกิจมีผลทำให้คนรัดเข็มขัดมากขึ้น เราเชื่อว่าในปีนี้ 2+ จะโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”

บริษัทได้นำ ประกันภัย 2+ ตัวใหม่ไปทดลองขายผ่านระบบใหม่ “AXA Connect” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่ที่เพิ่งพัฒนาขึ้นให้กับตัวแทน เพื่อเพิ่มความคล่องตัวทั้งการซื้อ-ขายและออกกรมธรรม์ได้ตลอดเวลาแบบเรียลไทม์ โดยลูกค้าจะได้รับความคุ้มครองทันที รวมถึงนำระบบการจัดการสินไหมทดแทนใหม่ “SmartClaims” มาใช้เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และชัดเจนสำหรับลูกค้ามากขึ้นด้วย ซึ่งนอกจาก ประกันภัยรถยนต์ แล้ว ยังมี ประกันภัย ทางทะเลและขนส่ง (มารีน) ที่สามารถซื้อขายผ่าน “แอกซ่า คอนเน็ค“ ได้ โดยเตรียมจะขยายไปยัง ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (พีเอ) และประกันการเดินทาง (ทีเอ) ด้วย

“แอกซ่า คอนเน็ค” จะเป็นกลยุทธ์สำคัญ ที่ทำให้ในปีนี้บริษัทบรรลุเป้าหมายเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมเทียบกับในปีที่ผ่านมา มีเบี้ย ประกันภัย 3,475 ล้านบาท เติบโต 6.9% อยู่ลำดับที่ 17 ของอุตสาหกรรม

“ธนชาต” อัดโฆษณาใหม่ เอ็มเอสไอจี/สินมั่นคง/ทิพยฯ พร้อมรบ

ด้าน กรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนชาตประกันภัย กล่าวว่า บริษัทเป็นเจ้าตลาด ประกันภัย 2+ อยู่ โดยล่าสุดเพิ่งออกภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “คุ้มกว่า..ใครก็เปลี่ยนใช้” สำหรับ “ธนชาต 2 บวกจัดเต็ม” เพื่อการันตีความคุ้มค่าของแบบประกันภัยนี้ที่ตอบโจทย์ตรงใจ คุ้มครองครบเครื่องทั้ง “ชน หาย ไฟไหม้” และยังมีค่ารักษาระหว่างรักษาตัวในโรงพยาบาลจากอุบัติเหตุ รถยนต์ 1,000 บาท/วัน เงินชดเชยค่าเดินทางระหว่าง รถยนต์ เข้าอู่ซ่อม 1,000 บาท/ครั้ง และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง เบี้ย ประกันภัย เริ่มต้น 7,999 บาท

ผู้จัดการใหญ่สายรับประกันและสินไหมทดแทน บมจ.เอ็มเอสไอจีประกันภัย (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บริษัททำตลาดทั้ง ประกันภัย 2+ และ 3+ ในชื่อ “เซฟการ์ด” แต่จะพยายามเติบโตประกัน 3+ มากกว่า ซึ่งในปีที่ผ่านมามีเบี้ย ประกันภัย ประมาณ 200 ล้านบาท อย่างต่ำกว่าเป้าหมาย โดยในปีนี้จะขยายช่องทางจำหน่ายใหม่ๆ เพิ่มขึ้น อาทิ ออนไลน์ซึ่งประสบความสำเร็จกับการขาย ประกันภัย การเดินทาง โดยเชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจจะส่งผลบวกต่อประกัน 3+ โดยประกัน 3+ แบบมินิของบริษัท เบี้ยเริ่มต้น 6,000 บาท คุ้มครองรถชนรถ 100,000 บาท ส่วน 2 + มินิ เบี้ยเริ่มต้น 6,900 บาท ทุน 100,000 บาทเท่ากัน

นอกจากนี้ยังมี บมจ.สินมั่นคงประกันภัย ที่เพิ่งออกประกัน 2+ มาทำตลาด ซึ่งเป็นแบบเบี้ยเหมา แบบ Single Rate ในอัตราเบี้ยเดียวคงที่เท่ากันทุกปี โดยมีทุน ประกันภัย ให้เลือก 3 ทุน และมีเบี้ย ประกันภัย เริ่มต้นเพียง 6,300 บาท ขณะที่ บมจ.ทิพยประกันภัย เพิ่งจับมือกับ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) เพิ่มสิทธิประโยชน์พิเศษให้กับลูกค้าผู้ถือบัตรสมาชิก PT MAX CARD ที่ใช้บริการที่สถานีบริการน้ำมัน PT ทั่วประเทศ

ที่มา : สยามอินชัวรัวร์ นิวส์