ปรากฏการณ์ความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรม ประกันภัย จากมรรคผลของการสัมมนาผู้บริหารระดับสูง “CEO Insurance Forum 2017” ทำให้สังคมได้ตระหนักถึงความทันสมัย ที่จะเกิดขึ้นในโลกอุตสาหกรรม ประกันภัย ในขณะเดียวกันเป็นความหวังใหม่ของคนในแวดวงที่เชื่อมั่นว่า เส้นทางที่กำลังจะร่วมก้าวเดินไปนี้ จะทำให้มวลสารของอุตสาหกรรม ประกันภัย ทุกอณู จะมีความแข็งแกร่ง สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ตลอดไปถึงเป็นเฟืองตัวสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจบรรลุถึงเป้าหมาย Value Based Economy หรือเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม

ท่ามกลางประกายความคิดที่เจิดจ้า พร้อมด้วยสายตาที่มุ่งมั่นของคนชนชั้นนำอุตสาหกรรม ประกันภัย ที่ไปรวมพลในวันนั้น กลับมีข่าวใหญ่ให้สาธารณชนได้รับรู้ว่า มีตัวแทนนายหน้าที่ จังหวัดระยอง เชิดเงินเบี้ย ประกันชีวิต ของลูกค้าไปกว่า 100 ล้านบาท รวมไปถึงประเด็น ทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์ ที่ว่าถึงเรื่อง จอด รถยนต์ ติดเครื่องไว้แล้วถูกขโมย ประกันภัย จะคุ้มครองกันหรือไม่ และวิพากษ์กันเลยเถิด จนถึงขนาดกล้าตีความคำพิพากษาศาลฎีกา เพียงเท่านี้ยังไม่พอ คล้อยการประชุมไปสัปดาห์เดียว ประเด็นร้อนข่าว ประกันภัย กลายเป็นเรื่องสงครามตัดราคาที่ยังรบกันไม่เลิก จนถึงขนาดสำนักงาน คปภ.ต้องออกโรงเตือนว่า ค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขายสูงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แถมยังมีอัตราที่สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของเบี้ย ประกันภัย

ท่าทีของสำนักงาน คปภ.ในห้วงเวลาที่กล่าวถึงนั้น คงเป็นเพียงการออกมาเตือน ในเชิงบอกใบ้ให้สังคมได้รับรู้ แต่ข้อเท็จจริง สำนักงาน คปภ.ได้เข้าแทรกแซงก่อนหน้านั้น ด้วยมาตรการอันคุมเข้มดุเดือดทันควัน จนฝังบริษัท ประกันภัย บ่นเป็นหมีกินผึ้งว่า ช่วงนี้ทางสำนักงาน คปภ.ออกกติกาหยุมหยิมหยุบหยับมากเกินเหตุ แถมไม่ได้มีการหารือล่วงหน้า ล่าสุดต้องเจอไม้หน้าสามหุ้มเหล็กของสำนักงาน คปภ. ด้วยการต้อนแถวให้บริษัท ประกันภัย เข้าโครงการประเมินภาคการเงิน (Financial Sector Assessment Program - FSAP) ซึ่งเป็นการประเมินจากองค์กรกลางต่างประเทศ นั้นก็หมายความว่า การปฏิบัติการนี้แล้วเสร็จเมื่อไหร่ เท่ากับเป็นการเปลือยฐานะทางการเงินทั้งสำคัญและมีมรรคผล

ดังนั้น การตื่นตา ลิงโลด ยันฮึกเหิม ที่จะก้าวไปสู่ยุคใหม่ของอุตสาหกรรม ประกันภัย ที่เริ่มกล่าวขานกันถึงคำว่า “Insur Tech” (Insurance Technology) จำต้องตระหนักกันว่า ข้อเท็จจริงแล้วอุตสาหกรรม ประกันภัย ยังคงติดกับดักพฤติกรรม 1.0 ปลิ้นปล้อน ฉ้อฉล โกงกันซึ่งหน้า ด้วยวิธีการเดิมๆ ดึกดำบรรพ์ จึงน่าจะเป็นวาระแห่ง ประกันภัย ที่ต้องมา CEO Insurance Forum กันอีกรอบ ว่ากันเฉพาะปัญหาดึกดำบรรพ์เพียวๆ ว่าตั้งแต่ประตูแรกที่ประชาชนสัมผัส คือกลุ่มตัวแทนนายหน้า ประกันภัย ขนาดวางกฎ กติกา ที่มั่นใจกันว่าคุมเข้ม รวมไปถึงการเปิดปฏิบัติการกวาดล้างจับกุมอย่างเฉียบขาดและฉับพลัน ดังเห็นได้จากการมุ่งมั่นของสำนักงาน คปภ.ในยุคปัจจุบัน กระนั้นยังคงต้องตั้งคำถาม แล้วทำไมยังมีช่องโหว่ของกฎที่ทำให้มีการโกงกันได้ แถมอย่างซึ่งหน้าง่ายๆ อีกต่างหาก ด่านถัดไปเป็นเรื่องของการรับ ประกันภัย หลายผลิตภัณฑ์กรมธรรม์ ประกันภัย ประชาชนซื้อแล้วกลับไม่โอเค มีเงื่อนไขซ่อนเงื่อนที่ทำให้เกิดการบิดพริ้วความคุ้มครองได้โดยง่าย และประตูสุดท้ายที่สำคัญการจัดการสินไหมทดแทน ทำไมปล่อยให้การจ่ายสินไหมแต่ละครั้ง ต้องมานั่งตีความและขยายความกลายเป็นข้อพิพาท รกศาล หรือปล่อยให้บริษัท ประกันภัย ยื้อการจ่าย จนเข้าข่ายประวิงถึงจะจ่าย

ยิ่งมองไปถึงกาลข้างหน้า ต่อให้พระอาทิตย์จะปรากฏตกลางวัน ดวงจันทร์สุกสว่าง “Insur Tech” จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน การบริหารการจัดการ ประกันภัย ตั้งแต่ประตูแรกยันกลางวัน ระบบประตูสุดท้ายจะจัดการกันบนสมาร์ทโฟนของผู้เอา ประกันภัย ปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้น แม้ว่าทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรม ประกันภัย กำลังคิดตีกรอบล้อมคอกเอาไว้แล้ว ดังเห็นได้จากสาระสำคัญในการประชุม CEO Insurance Forum ครั้งที่ผ่านมา ได้มีการแบ่งหมวดระดมสมองอย่างครอบคลุม อาทิ ว่าถึงเรื่องการพัฒนากฎหมาย การควบคุมและการบริหารความเสี่ยงเกี่ยวกับการฉ้อฉล ประกันภัย ไปในยุคดิจิทัล แต่เราต้องยอมรับความจริงว่า ปมปัญหาของอุตสาหกรรม ประกันภัย ยังคงติดกับดักพฤติกรรมโกง 1.0 ดังที่กล่าวมาข้างต้น นั่นก็หมายความว่า ถ้าคนในอุตสาหกรรมยังหลงเพลินเดินฝันหวานมุ่งสู่อนาคต แต่กลบเกลื่อนซุกขยะปัญหาไว้ในพรมทางเดิน เส้นทางที่กำลังจะเดินไปมันไม่ต่างไปจากความหมาย เดินหลงทางในเขาวงกต 1.0

ที่มา : สยามอินชัวร์ นิวส์ (ปักษ์แรก พฤษภาคม 2560)