เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน เจนีวา มอเตอร์โชว์ 2017 ที่ผ่านมา สำหรับ ลัมโบร์กินี อะเวนทาดอร์ เอส เจเนอเรชั่นใหม่ ที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่โดดเด่นของ ซูเปอร์คาร์ ที่ยกระดับไปอีกขั้น
รถยนต์ คันนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงแนวทาง และรูปแบบในการออกแบบของเจเนอเรชั่นต่อไปของ อะเวนทาดอร์ ได้อย่างชัดเจน ตัว รถยนต์ มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลง บนรูปลักษณ์ภายนอกหลายอย่าง ตั้งแต่บนตัวถังด้านหน้าและด้านท้าย โดยยังคงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเอาไว้
ทุกชิ้นส่วนที่มีการปรับแต่งนั้น ได้รับการออกแบบใหม่เพื่อเป้าหมายในเรื่อง การประสบความสำเร็จในด้านประสิทธิภาพทางด้านหลักอากาศพลศาสตร์ ตัวถังด้านหน้ามีความดุดันมากขึ้น ติดตั้งแผ่นรีดอากาศที่มีขนาดใหญ่ ช่วยในเรื่องการควบคุมทิศทางการไหลของลม เพิ่มประสิทธิภาพในด้านการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ และหม้อน้ำ ท่อนำอากาศ 2 ท่อ ที่ติดตั้งอยู่ด้านข้างกันชนหน้า จะช่วยลดแรงต้าน ที่ส่งผลต่อความเพรียวลมตรงบริเวณที่ยางของล้อหน้า และยังช่วยทำให้อากาศมีการไหลเข้าสู่ หม้อน้ำ ที่อยู่ทางด้านท้ายได้ดีขึ้น
ทางด้านท้ายโดดเด่นด้วยชุดรีดอากาศ Diffuser สีดำขนาดใหญ่ และผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ ด้วยรูปทรงเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งประกอบไปด้วยครีบที่วางตัวในแนวตั้งหลายชิ้น ซึ่งทั้งหมดจะส่งผลต่อทิศทางการไหลของลม ช่วยลดแรงฉุดที่เกิดขึ้น ในขณะที่รถกำลังแล่น และสามารถสร้างแรงกดบนตัวถัง โดยที่ตำแหน่งปลายท่อไอเสียบนกันชนท้าย ประกอบไปด้วยถึง 3 ปลายท่อ สปอยเลอร์ด้านหลัง สามารถปรับได้ 3 ระดับ ขึ้นอยู่กับความเร็วที่ใช้ และโหมดการขับขี่ที่ถูกเลือก ซึ่งจะมีผลต่อความสมดุลโดยรวมของตัว รถยนต์ และทำงานร่วมกับตัวสร้างกระแสลมหมุน หรือ Vortex Generator ซึ่งอยู่ในตำแหน่งด้านล่างของระบบช่วงล่างด้านหน้าและหลัง ในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลของกระแสลมได้อย่างสูงสุด เช่นเดียวกับการช่วยระบายความร้อนให้กับระบบเบรก
โครงสร้างตัวถังแบบโมโนค็อก ที่มีความทนทานต่อการบิดตัว และมีน้ำหนักเบา เพราะผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ โดยโครงนี้จะเชื่อมต่อเข้ากับเฟรมตัวถัง ที่ผลิตจากอะลูมิเนียม ซึ่งผลก็คือทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเบา หรือ Dry Weight เพียง 1,575 กิโลกรัมเท่านั้น
อะเวนทาดอร์ เอส พัฒนาขึ้นมาใหม่ ภายใต้แนวคิดที่เรียกว่า "Total Control Concept" เพื่อส่งมอบประสิทธิภาพการขับขี่ในระดับสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของระบบช่วงล่าง หรือระบบควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ ที่ติดตั้งอยู่ในตัวรถนั้น ล้วนได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า โดยมีเป้าหมายเดียวกันในเรื่องของการส่งมอบอารมณ์ในการขับขี่ และการควบคุมรถที่ยอดเยี่ยม
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อรุ่นใหม่ ซึ่งมีการติดตั้งเป็นครั้งแรกให้กับรถสปอร์ตในสายการผลิตของ ลัมโบร์กินี ช่วยปรับปรุงเรื่องความคล่องตัวของตัวรถ เมื่อขับด้วยความเร็วต่ำและปานกลาง และการทรงตัวที่ดีขึ้นในช่วงความเร็วสูง ระบบ Lam-borghini Dynamic Steering (LDS) ที่ได้รับการปรับแต่งเพื่อมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น เช่นเดียวกับการตอบสนองที่ฉับไวเวลาที่เผชิญหน้ากับโค้ง ประสานการทำงานอย่างเป็นพิเศษกับระบบบังคับเลี้ยวของล้อหลัง หรือ Lamborghini Rear-wheel Steering (LRS) โดยจะมีตัวควบคุมที่แยกการทำงานต่างหาก
ช่วงล่างแบบ Lamborghini Magneto-rheological Suspension (LMS) โดยจะมีการทำงานร่วมกับระบบเลี้ยว 4 ล้อรุ่นใหม่ของตัวรถ การจัดวางชิ้นส่วนในระบบกันสะเทือนในเชิงเรขาคณิตมีการปรับปรุงใหม่ ซึ่งก็เป็นผลมาจากการทำงานร่วมกับ ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง Lamborghini Rear-wheel Steering ซึ่งการปรับปรุงนี้ มีทั้งในส่วนของปีกนกตัวบน ตัวล่าง และดุมล้อ ซึ่งจะช่วยลดมุมแคสเตอร์ และลดภาระที่เกิดขึ้นกับระบบช่วงล่าง
โช้กอัพที่มีการปรับระดับความหนืดแบบ Real-time ให้สอดคล้องกับสภาพการขับขี่ จะช่วยควบคุมล้อและตัวถัง ให้สามารถอยู่ในระดับที่สมดุล และให้ระดับการยึดเกาะที่สูงสุด นอกจากนั้นสปริงชุดใหม่ที่ล้อหลัง ยังช่วยควบคุมการสมดุลของตัวรถได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ESC ให้มีความแม่นยำมากขึ้น และรวดเร็วขึ้น ในการควบคุมการยึดเกาะและพลวัตในการขับเคลื่อนของตัวรถ จากการทดสอบอย่างยาวนานบนพื้นผิวที่หลากหลาย พร้อมด้วยระบบสมองกลอัจฉริยะอย่าง Lamborghini Dinamica Veicolo Attiva (LDVA) จะรับข้อมูลการเคลื่อนที่ของตัวรถแบบ Real-time และมีความแม่นยำมากขึ้น
รถคันนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกรูปแบบการทำงานของระบบ เพื่อสอดคล้องกับการขับขี่ได้ถึง 4 แบบด้วยกัน คือ STRADA, SPORT, CORSA และแบบใหม่ล่าสุดคือ EGO Mode ซึ่งทั้งหมดจะมีการปรับปรุงในส่วนรูปแบบการทำงานของ ระบบการยึดเกาะ (เครื่องยนต์, เกียร์ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ) ระบบบังคับเลี้ยว (LRS, LDS และ Servotronic) และระบบช่วงล่าง (LMS) หัวใจของกระทิงดุตัวนี้มาพร้อม เครื่องยนต์แบบ 12 สูบ 6.5 ลิตร เป็นแบบไม่พึ่งระบบอัดอากาศ และได้รับการปรับปรุงให้มีกำลังเพิ่มขึ้นอีก 40 แรงม้าจากรุ่นเดิม จนสามารถทำกำลังได้ถึง 740 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 690 นิวตันเมตร ที่ 5,500 รอบ/นาที ใช้ระบบวาล์วแปรผัน VVT (Variable Valve Timing) และระบบปรับความยาวของชุดท่อไอดี VIS (Variable Intake System) รอบการทำงานสูงสุดของเครื่องยนต์ ถูกเพิ่มจาก 8,350 มาเป็น 8,500 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้เวลาเพียงแค่ 2.9 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดถึง 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระบบส่งกำลังเป็นแบบ ISR-Independent Shifting Rod แบบ 7 จังหวะ ซึ่งชุดเกียร์มีน้ำหนักเบา และมีการเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติที่ฉับไว เพียง 0.05 วินาทีเท่านั้น
ภายในห้องโดยสารของ Aventador S มาพร้อมกับฟังก์ชั่นใหม่ๆ และการตกแต่งที่ประณีต ผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งการแสดงผลบนหน้าจอ แบบ TFT ติดตั้งระบบปฏิบัติการ AppleCarPlay เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
สำหรับสนนราคาค่าตัวของกระทิงดุตัวนี้ ค่ายนิชคาร์ ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในบ้านเราแจ้งว่า สตาร์ตเริ่มต้นที่ 38.7 ล้านบาท เท่านั้น
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ