ทูเดย์อินชัวร์ จำหน่าย ประกันภัยรถยนต์ ราคาถูก
สำหรับสมาชิก todayinsure.com ระบบงาน TodayInsure C.R.M. หมายเลขใบอนุญาตของ TodayInsure: 5104006215
ขณะนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัตหน้าที่อยู่ โทรหาเรา (02) 952-7322, (086)378-9671 หรือ email: sales@todayinsure.com

ข่าวประกันภัยทั่วไป

รถยนต์ ลัมโบร์กินี กระทิงตัวใหม่ ไฉไล ดุดัน

"อะเวนทาดอร์ เอส" กระทิงดุตัวใหม่ เปิดตัวในงาน เจนีวา มอเตอร์โชว์ 2017 ที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่โดดเด่นของ ซูเปอร์คาร์ ที่ยกระดับไปอีกขั้น

รถยนต์ ลัมโบร์กินี กระทิงตัวใหม่ ไฉไล ดุดัน

เมษายน
23

เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน เจนีวา มอเตอร์โชว์ 2017 ที่ผ่านมา สำหรับ ลัมโบร์กินี อะเวนทาดอร์ เอส เจเนอเรชั่นใหม่ ที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่โดดเด่นของ ซูเปอร์คาร์ ที่ยกระดับไปอีกขั้น

รถยนต์ คันนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงแนวทาง และรูปแบบในการออกแบบของเจเนอเรชั่นต่อไปของ อะเวนทาดอร์ ได้อย่างชัดเจน ตัว รถยนต์ มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลง บนรูปลักษณ์ภายนอกหลายอย่าง ตั้งแต่บนตัวถังด้านหน้าและด้านท้าย โดยยังคงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเอาไว้

ทุกชิ้นส่วนที่มีการปรับแต่งนั้น ได้รับการออกแบบใหม่เพื่อเป้าหมายในเรื่อง การประสบความสำเร็จในด้านประสิทธิภาพทางด้านหลักอากาศพลศาสตร์ ตัวถังด้านหน้ามีความดุดันมากขึ้น ติดตั้งแผ่นรีดอากาศที่มีขนาดใหญ่ ช่วยในเรื่องการควบคุมทิศทางการไหลของลม เพิ่มประสิทธิภาพในด้านการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ และหม้อน้ำ ท่อนำอากาศ 2 ท่อ ที่ติดตั้งอยู่ด้านข้างกันชนหน้า จะช่วยลดแรงต้าน ที่ส่งผลต่อความเพรียวลมตรงบริเวณที่ยางของล้อหน้า และยังช่วยทำให้อากาศมีการไหลเข้าสู่ หม้อน้ำ ที่อยู่ทางด้านท้ายได้ดีขึ้น

ทางด้านท้ายโดดเด่นด้วยชุดรีดอากาศ Diffuser สีดำขนาดใหญ่ และผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ ด้วยรูปทรงเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งประกอบไปด้วยครีบที่วางตัวในแนวตั้งหลายชิ้น ซึ่งทั้งหมดจะส่งผลต่อทิศทางการไหลของลม ช่วยลดแรงฉุดที่เกิดขึ้น ในขณะที่รถกำลังแล่น และสามารถสร้างแรงกดบนตัวถัง โดยที่ตำแหน่งปลายท่อไอเสียบนกันชนท้าย ประกอบไปด้วยถึง 3 ปลายท่อ สปอยเลอร์ด้านหลัง สามารถปรับได้ 3 ระดับ ขึ้นอยู่กับความเร็วที่ใช้ และโหมดการขับขี่ที่ถูกเลือก ซึ่งจะมีผลต่อความสมดุลโดยรวมของตัว รถยนต์ และทำงานร่วมกับตัวสร้างกระแสลมหมุน หรือ Vortex Generator ซึ่งอยู่ในตำแหน่งด้านล่างของระบบช่วงล่างด้านหน้าและหลัง ในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลของกระแสลมได้อย่างสูงสุด เช่นเดียวกับการช่วยระบายความร้อนให้กับระบบเบรก

โครงสร้างตัวถังแบบโมโนค็อก ที่มีความทนทานต่อการบิดตัว และมีน้ำหนักเบา เพราะผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ โดยโครงนี้จะเชื่อมต่อเข้ากับเฟรมตัวถัง ที่ผลิตจากอะลูมิเนียม ซึ่งผลก็คือทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเบา หรือ Dry Weight เพียง 1,575 กิโลกรัมเท่านั้น

อะเวนทาดอร์ เอส พัฒนาขึ้นมาใหม่ ภายใต้แนวคิดที่เรียกว่า "Total Control Concept" เพื่อส่งมอบประสิทธิภาพการขับขี่ในระดับสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของระบบช่วงล่าง หรือระบบควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ ที่ติดตั้งอยู่ในตัวรถนั้น ล้วนได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า โดยมีเป้าหมายเดียวกันในเรื่องของการส่งมอบอารมณ์ในการขับขี่ และการควบคุมรถที่ยอดเยี่ยม

ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อรุ่นใหม่ ซึ่งมีการติดตั้งเป็นครั้งแรกให้กับรถสปอร์ตในสายการผลิตของ ลัมโบร์กินี ช่วยปรับปรุงเรื่องความคล่องตัวของตัวรถ เมื่อขับด้วยความเร็วต่ำและปานกลาง และการทรงตัวที่ดีขึ้นในช่วงความเร็วสูง ระบบ Lam-borghini Dynamic Steering (LDS) ที่ได้รับการปรับแต่งเพื่อมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น เช่นเดียวกับการตอบสนองที่ฉับไวเวลาที่เผชิญหน้ากับโค้ง ประสานการทำงานอย่างเป็นพิเศษกับระบบบังคับเลี้ยวของล้อหลัง หรือ Lamborghini Rear-wheel Steering (LRS) โดยจะมีตัวควบคุมที่แยกการทำงานต่างหาก

ช่วงล่างแบบ Lamborghini Magneto-rheological Suspension (LMS) โดยจะมีการทำงานร่วมกับระบบเลี้ยว 4 ล้อรุ่นใหม่ของตัวรถ การจัดวางชิ้นส่วนในระบบกันสะเทือนในเชิงเรขาคณิตมีการปรับปรุงใหม่ ซึ่งก็เป็นผลมาจากการทำงานร่วมกับ ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง Lamborghini Rear-wheel Steering ซึ่งการปรับปรุงนี้ มีทั้งในส่วนของปีกนกตัวบน ตัวล่าง และดุมล้อ ซึ่งจะช่วยลดมุมแคสเตอร์ และลดภาระที่เกิดขึ้นกับระบบช่วงล่าง

โช้กอัพที่มีการปรับระดับความหนืดแบบ Real-time ให้สอดคล้องกับสภาพการขับขี่ จะช่วยควบคุมล้อและตัวถัง ให้สามารถอยู่ในระดับที่สมดุล และให้ระดับการยึดเกาะที่สูงสุด นอกจากนั้นสปริงชุดใหม่ที่ล้อหลัง ยังช่วยควบคุมการสมดุลของตัวรถได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ESC ให้มีความแม่นยำมากขึ้น และรวดเร็วขึ้น ในการควบคุมการยึดเกาะและพลวัตในการขับเคลื่อนของตัวรถ จากการทดสอบอย่างยาวนานบนพื้นผิวที่หลากหลาย พร้อมด้วยระบบสมองกลอัจฉริยะอย่าง Lamborghini Dinamica Veicolo Attiva (LDVA) จะรับข้อมูลการเคลื่อนที่ของตัวรถแบบ Real-time และมีความแม่นยำมากขึ้น

รถคันนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกรูปแบบการทำงานของระบบ เพื่อสอดคล้องกับการขับขี่ได้ถึง 4 แบบด้วยกัน คือ STRADA, SPORT, CORSA และแบบใหม่ล่าสุดคือ EGO Mode ซึ่งทั้งหมดจะมีการปรับปรุงในส่วนรูปแบบการทำงานของ ระบบการยึดเกาะ (เครื่องยนต์, เกียร์ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ) ระบบบังคับเลี้ยว (LRS, LDS และ Servotronic) และระบบช่วงล่าง (LMS) หัวใจของกระทิงดุตัวนี้มาพร้อม เครื่องยนต์แบบ 12 สูบ 6.5 ลิตร เป็นแบบไม่พึ่งระบบอัดอากาศ และได้รับการปรับปรุงให้มีกำลังเพิ่มขึ้นอีก 40 แรงม้าจากรุ่นเดิม จนสามารถทำกำลังได้ถึง 740 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 690 นิวตันเมตร ที่ 5,500 รอบ/นาที ใช้ระบบวาล์วแปรผัน VVT (Variable Valve Timing) และระบบปรับความยาวของชุดท่อไอดี VIS (Variable Intake System) รอบการทำงานสูงสุดของเครื่องยนต์ ถูกเพิ่มจาก 8,350 มาเป็น 8,500 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้เวลาเพียงแค่ 2.9 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดถึง 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระบบส่งกำลังเป็นแบบ ISR-Independent Shifting Rod แบบ 7 จังหวะ ซึ่งชุดเกียร์มีน้ำหนักเบา และมีการเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติที่ฉับไว เพียง 0.05 วินาทีเท่านั้น

ภายในห้องโดยสารของ Aventador S มาพร้อมกับฟังก์ชั่นใหม่ๆ และการตกแต่งที่ประณีต ผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งการแสดงผลบนหน้าจอ แบบ TFT ติดตั้งระบบปฏิบัติการ AppleCarPlay เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

สำหรับสนนราคาค่าตัวของกระทิงดุตัวนี้ ค่ายนิชคาร์ ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในบ้านเราแจ้งว่า สตาร์ตเริ่มต้นที่ 38.7 ล้านบาท เท่านั้น

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ