กระแสข่าวที่ ธนาคารไทยพานิชย์ จะขายหุ้นในบริษัทประกันชีวิตในเครือ คือ บริษัท ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ในสัดส่วน 49% โดยใช้วิธีเปิดให้ยื่นซองประมูล ซึ่งสื่อต่างประเทศเริ่มรายงานข่าวมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ขณะที่ในประเทศไทยแทบจะไม่มีข่าวของเรื่องนี้ออกมามากนัก มีแค่ทางผู้บริหารระดับสูงของธนาคารที่ออกมายอมรับว่า อยู่ระหว่างศึกษารูปแบบธุรกิจที่จะเสริมศักยภาพให้กับบริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิต ซึ่งการหาพันธมิตรเป็นหนึ่งในโมเดลที่ธนาคารศึกษาอยู่เช่นกัน

ล่าสุด สื่อต่างประเทศรายงานข่าวความคืบหน้าของเรื่องนี้อีกระลอก ซึ่งมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นที่สิงคโปร์ โดยรอยเตอร์เผยข้อมูลจากแหล่งข่าววงในว่า ธนาคารไทยพานิชย์ได้เริ่มอย่างเป็นทางการที่จะให้มีการเสนอราคาประมูลซื้อหุ้น ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต ในสัดส่วน 49% แล้ว โดยคาดว่าราคาขายหุ้นล็อตใหญ่ในรอบนี้อาจจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.05 แสนล้านบาท

“พรูเด็นเชียล-เอไอเอ-แมนูไลฟ์” แจม สั่นระฆังประมูลยกแรกต้นกุมภาฯ

แหล่งข่าวกล่าวว่า บริษัทประกันชีวิตขนาดใหญ่ของโลกที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี ไม่ว่าจะเป็นบริษัท พรูเด็นเชียล หรือแม้กระทั่งบริษัท เอไอเอ บริษัท แมนูไลฟ์ ไฟแนนเชียล คอร์ป ต่างมีรายชื่ออยู่ในกลุ่มบริษัทประกันชีวิตที่เข้าร่วมประมูลนี้ เพื่อช่วงชิงหุ้นไทยพาณิชย์ประกันชีวิตทั้งนั้น

ด้านแหล่งข่าวอีกรายให้ข้อมูลว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ มองไปที่การขายหุ้น 49% ในบริษัทประกันชีวิตในเครือเมื่อปีที่ผ่านมา แต่กระบวนการขายถูกชะลอออกไปจนถึงปี 2560 นี้ เนื่องจากทางหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย คือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) มีการแก้ไขกฎระเบียบในส่วนของผู้ถือหุ้นต่างชาติในบริษัทประกันภัย

อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะขายหุ้นได้ทั้งหมดตามเป้าหมาย หรือขายได้เฉพาะส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับ 2 เงื่อนไข คือ ข้อเสนอที่ธนาคารได้รับจากผู้เข้าร่วมประมูล และใครคือผู้ที่จะเข้าร่วมเป็นพันธมิตรรายใหม่ของธนาคาร โดยคาดว่าการประมูลรอบแรกน่าจะเริ่มขึ้นในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ปี 2560 นี้

ปัจจุบัน พ.ร.บ.ประกันชีวิตและพ.ร.บ.ประกันวินาศภัย กำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติในบริษัท ประกันภัย ไทยสูงสุดที่ 49% แต่ทางการอาจอนุญาตให้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นได้สูงกว่านี้ ในลักษณะเป็นรายกรณี หรือ “เคส บาย เคส”

แย่งแบงก์แอสชัวรันส์ 1,200 สาขาทั่วไทย ต่างชาติจ้องโตอาเซียน เหตุเบี้ยพุ่งเร็ว

แหล่งข่าวกล่าวว่า คาดว่าดีลขายหุ้น ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต ในรอบนี้ จะรวมลิขสิทธิ์ในช่องทางขายผลิตภัณฑ์ ประกันภัย ผ่านเครือข่ายสาขาของธนาคารที่มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 1,200 สาขาทั่วประเทศ หรือช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ ซึ่งเป็นช่องทางที่บรรดาบริษัท ประกันภัย จากทั่วโลก ต้องการที่จะขยายเข้าสู่ช่องทางนี้ เพื่อเจาะฐานลูกค้าขนาดใหญ่ของธนาคาร โดยเฉพาะฐานลูกค้าคนชั้นกลางที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา อาทิ ไทย เป็นต้น โดยไม่ว่าผู้ชนะดีลนี้จะเป็นใคร จะสามารถเพิ่มยอดขาย ประกันภัย ผ่าน ธนาคารไทยพานิชย์ ที่มีสาขาจำนวนมากนี้ได้ทันที

บริษัท ประกันภัย ต่างชาติมองภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นพื้นที่ในการเจริญเติบโตสำหรับพวกเขา เนื่องจากเบี้ย ประกันชีวิต ในภูมิภาคนี้มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีอัตราการทำ ประกันภัย ต่ำ โดยวัดจากเบี้ย ประกันชีวิต ต่อจีดีพีที่ยังค่อนข้างเล็กอยู่

อย่างไรก็ดี รอยเตอร์ส รายงานว่า ทั้งกรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพานิชย์ รวมไปถึงบริษัท เอไอเอ บริษัท พรูเด็นเชียล และบริษัท แมนูไลฟ์ ต่างปฏิเสธที่จะให้ความคิดเห็นใดๆ ถึงข่าวข้างต้น

นอกจาก บริษัท เอไอเอ บริษัท พรูเด็นเชียล และบริษัท แมนูไลฟ์ แล้ว ยังมีทุน ประกันภัย ขนาดใหญ่กลุ่มอื่นที่สนใจจะเข้าร่วมประมูลซื้อหุ้น ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต อาทิ เอช กรุ๊ป เป็นต้น

รายงานเพิ่มเติมว่า ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต เป็นบริษัท ประกันชีวิต ที่มีเบี้ยรับรวมอยู่ในอันดับ “ท็อปไฟว์” ของตลาด ประกันชีวิต ไทย ซึ่งจากข้อมูลของสมาคมประกันชีวิตไทย พบว่า ในช่วงเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2559 มีเบี้ยรับรวม 49,644.7 ล้านบาท เติบโตติดลบเล็กน้อย เมื่อเทียบกับ 49,804.4 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า อยู่ในอันดับ 5 โดยเบี้ยส่วนใหญ่ประมาณ 90% มาจากช่องทาง แบงก์แอสชัวรันส์ รองลงมาเป็นช่องทางตัวแทน และช่องทางอื่นๆ ล่าสุดเพิ่งได้ ซีเอโอ คนใหม่ มานั่งบริหารช่องทางตัวแทน แต่ ซีอีโอ ยังคงเป็นตำแหน่งรักษาการ ที่รับหน้าที่มาตั้งแต่ กุมภาพันธ์ 2559 จึงทำให้ถูกพุ่งเป้าไปที่การรอขายกิจการ มากกว่าที่แบงก์จะทำเอง

ก่อนหน้านี้ ธนาคารไทยพานิชย์ได้ขายหุ้นทั้งหมดใน บมจ.ไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย ให้ เอช กรุ๊ป จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันสามัคคีประกันภัยได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ชับบ์ สามัคคีประกันภัย” หลังจากเอช กรุ๊ป ได้เข้าซื้อ “ชับบ์ กรุ๊ป” และมีนโยบายให้ทุกสาขาทั่วโลกเปลี่ยนชื่อเป็น “ชับบ์” ทั้งหมด

อนึ่ง ในปีที่ผ่านมา คปภ.อยู่ระหว่างยกร่างประกาศ คปภ.ฉบับใหม่ อนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นเกิน 49% ในบริษัท ประกันภัย ที่ไม่ได้มีปัญหาด้านฐานะการเงิน แต่ต้องการเพิ่มทุนเพื่อส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัท หรือเพื่อความมั่นคงของธุรกิจ ประกันภัย เพื่อให้สอดรับกับ พ.ร.บ.ประกันชีวิต และพ.ร.บ.ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2558 ที่แก้ไขให้สามารถทำได้ แต่ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข หรือเงื่อนเวลา ที่คณะกรรมการ (บอร์ด คปภ.) หรือรัฐมนตรีกำหนด จากเดิมจะอนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นเกิน 49% ได้ เฉพาะกรณีบริษัท ประกันภัย แห่งนั้นๆ มีปัญหาทางการเงินเท่านั้น ซึ่งการแก้ไขสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติข้างต้น ยังจะสอดรับกับนโยบายของภาครัฐ ที่ต้องการส่งเสริมให้บริษัท ประกันภัย ควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน เพื่อให้มีฐานะการเงินมั่นคง และแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

ที่มา : สยามอินขัวร์ นิวส์