บทวิเคราะห์ของ เอ.เอ็ม.เบสท์ โค อิงค์ เผยว่า ธุรกิจประกันวินาศภัยในเอเชีย จะเผชิญทั้งโอกาสและภัยคุกคามที่ประเดประดังเข้ามา โดยการเติบโตที่ลดลงในตลาด ประกันภัย เพื่อการพาณิชย์และ ประกันภัย รายย่อย โดยเฉพาะอัคคีภัยและ รถยนต์ รวมไปถึงการพึ่งพิง ประกันภัย โครงการการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐบาล (เมกะโปรเจกต์) มากขึ้น ล้วนส่งผลต่อการเติบโตของบริษัท ประกันวินาศภัย ในเอเชีย

“เจาะลึกตลาด ประกันภัย (ต่อ) ภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก”ที่ เอ.เอ็ม.เบสท์ จัดทำขึ้นนั้นระบุว่า ท่ามกลางสภาวะข้างต้น การบริหารจัดการความเสี่ยงและประสิทธิภาพในการดำเนินการมีความสําคัญมากยิ่งขึ้น ในการรักษาผลกำไรให้ยั่งยืนต่อไป แต่การปรับเงื่อนไขข้อตกลงต่างๆ ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น รวมไปถึงการขยายระยะเวลาการ ประกันภัย ที่เกี่ยวข้องกับเมกะโปรเจ็กต์ให้ยาวขึ้น และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลต่อกำไร

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาในเรื่องขนาดของตลาดใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีความแตกต่างกันมากในด้านขนาด โดยส่วนใหญ่มีขนาดเล็กและปัญหาด้านกฎระเบียบใหม่ๆ โดยเฉพาะเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง หรืออาร์บีซี (Risk-Based Capital : RBC) ที่หน่วยงานกำกับในแต่ละประเทศนำมาใช้ เพื่อให้บริษัท ประกันภัย แข็งแกร่งมากขึ้น

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางวิกฤต ธุรกิจประกันวินาศภัยในเอเชียยังมีโอกาสอยู่มาก จากการเจริญเติบโตแบบทวีคูณของเศรษฐกิจในภูมิภาค อาทิ จีน แม้จีดีพีจะเติบโตประมาณ 6-7% แต่ธุรกิจประกันวินาศภัยยังมีเบี้ย ประกันภัย เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก เนื่องจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น การกระจุกตัวของทรัพย์สิน ตลอดไปจนถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจในเมืองต่างๆ ขยายตัว

ยิ่งกว่านั้น ประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยกเว้น สิงคโปร์ มีการเติบโตของเศรษฐกิจค่อนข้างสูง เฉลี่ยปีละ 3.5-7% แต่กระนั้นธุรกิจประกันวินาศภัยในประเทศต่างๆ ไม่ได้เติบโตเร็วเหมือนจีน

ในมุมของ เอ.เอ็ม.เบสท์ มองว่า โอกาสหลักๆ ในประเทศกลุ่มนี้ อยู่ที่นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ ประกันภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนถ่ายอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่กลไกตลาดเสรี อย่างไรก็ดี มีประเทศกลุ่มหนึ่งที่จะเห็นการเพิ่มจำนวนเงินกองทุนขั้นต่ำให้สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงของบริษัท ประกันภัย

เอ.เอ็ม.เบสท์ เผยว่า โดยรวมแล้ว ในภูมิภาคเอเชียมีอุปสรรคไม่กี่อย่างที่เป็นประเด็นให้พิจารณา ซึ่งก็รวมไปถึงการเติบโตของเศรษฐกิจที่ลดลง อัตราดอกเบี้ยเชิงลบในประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศ โครงสร้างประชากรในประเทศที่มีขนาดของเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชีย 2 ประเทศ รวมไปถึงการลดลงของอัตราดอกเบี้ยในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีน หลังจะก่อให้เกิดภาวะฟองสบู่ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงทางการเมืองและการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้น โดยปัจจัยทั้งหมดนี้ นำไปสู่ความเสี่ยงที่มีมากขึ้นทั่วทั้งเอเชีย

ที่มา : สยามอินชัวร์ นิวส์