ข้าวนาปีการผลิตล้นตลาด 28 ล้านตัน ชาวนามึนราคาร่วงระนาว สมาคมประกันวินาศภัยไทย ปิ๊งสั่งซื้อตรงช่วยเหลือด้วยการผุดโครงการ “ ประกันภัย ให้ข้าวเป็นของขวัญ” พร้อมส่งโมยายล์ 20 คันตระเวนขายตามชุมชน ตั้งเป้า 500 ตัน ระยะยาวส่งเสริมปลูกข้าวอินทรีย์ปลอดสารพิษ เผย ประกันภัย ข้าวนาปี 27 ล้านไร่ ยอดเคลมความเสียหายจากน้ำท่วมจิ๊บจ้อย

นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย (TIGA) เปิดเผยว่า จากแนวโน้มการผลิตข้าวนาปีประจำปี 2559-2560 มีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 25-28 ล้านตัน จากช่วงปี 2558-2559 อยู่ที่ 22 ล้านตัน ทำให้ชาวนาได้รับความเดือดร้อนจากการขายข้าวราคาต่ำกว่าต้นทุนการผลิต โดยข้าวเปลือกจำหน่ายอยู่ที่กิโลกรัมละ 5-7 บาท ข้าวสารอยู่ที่กิโลกรัมละ 14-15 บาท รวมถึงข้าวหอมมะลิราคาก็ตกต่ำเช่นกัน ทำให้เกิดกระแสชาวนานำข้าวที่ปลูกออกมาขายให้กับผู้บริโภคเองโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง โดยการรวมกลุ่มกันเองในชุมชนบ้าง หรือประกาศขายเองบ้างในโซเชียลต่างๆ ซึ่งปรากฏว่ามีกระแสตอบรับที่ดีจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือโดยการอุดหนุนซื้อข้าวจากชาวนาโดยตรง หรือมีการอนุญาตให้ชาวนาใช้สถานที่ในการนำข้าวมาวางขายโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทำให้ชาวนาสามารถระบายผลผลิตข้าวที่เก็บเกี่ยวแล้ว และขายได้ในราคาที่เหมาะสม ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้ในระดับหนึ่ง

สมาคมประกันวินาศภัยไทย เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่เล็งเห็นถึงปัญหาและความเดือดร้อนของชาวนา ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะราคาข้าวตกต่ำอยู่ในขณะนี้ จึงได้จัดทำ “โครงการ ประกันภัย ให้ข้าวเป็นของขวัญ” โดยเชิญชวนบริษัทสมาชิกของสมาคมฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมโครงการ และร่วมกันสั่งซื้อข้าวจากชาวนาโดยตรง เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับพนักงานของบริษัทได้บริโภค หรือมอบให้กับลูกค้าเพื่อเป็นของขวัญในเทศกาลปีใหม่ หรือในโอกาสสำคัญๆ ของบริษัท เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับชาวนาได้ขายข้าวได้ในราคาที่เหมาะสม ซึ่งสมาคมฯ ได้ติดต่อสั่งซื้อข้าวสารหอมมะลิจากชาวนาที่ขายข้าวเอง และเป็นกลุ่มชาวนาที่รวมตัวกันเพื่อขายข้าวโดยตรงให้กับผู้บริโภค เช่น กลุ่มเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชนตำบลทับทัน อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ กลุ่ม อบต.กระเทียม อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ และกลุ่มสุรินทร์ 108 (กลุ่มฉนังบายสเร็น) เป็นต้น

สมาคมฯ เชื่อมั่นว่า การซื้อข้าวจากชาวนาในครั้งนี้จะสามารถช่วยให้ชาวนาขายข้าวได้ในราคาที่เหมาะสม และเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการระบายผลผลิตข้าวของชาวนาส่งถึงผู้บริโภคโดยตรง ทั้งนี้สมาคมฯ ได้เชิญชวนบริษัทสมาชิกของสมาคมฯ และหน่วยงานอื่นๆ เข้าร่วมโครงการเพื่อร่วมกันสั่งซื้อข้าวสารจากชาวนาโดยตร ในราคาต้นทุนรวมค่าขนส่งถึงกรุงเทพมหานคร โดยแบ่งการบรรจุและราคาขายดังนี้ ข้าวสารหอมมะลิ ขนาดถุงละ 1 กิโลกรัม ราคาถุงละ 40 บาท (บรรจุแบบถุงสูญญากาศ) ข้าวสารหอมมะลิ ขนาดถุงละ 2 กิโลกรัม ราคาถุงละ 64 บาท (บรรจุแบบถุงพลาสติก) และข้าวสารหอมมะลิ ขนาดถุง 5 กิโลกรัม ราคาถุงละ 160 บาท (บรรจุแบบถุงพลาสติก)

ล่าสุด บริษัทประกันภัยและหน่วยงานต่างๆ สั่งซื้อข้าวกับสมาคมฯ ในโครงการแล้วประมาณ 200 ตัน หรือประมาณ 200,000 กิโลกรัมแล้ว และคาดว่าจะมีผู้ที่สั่งซื้อข้าวเพิ่มเติมมาอีกไม่น้อยกว่า 300 ตัน ตามที่ตั้งเป้าไว้จำนวน 500 ตัน ซึ่งจะมีมูลค่าการซื้อข้าวช่วยชาวนารวมกว่า 20 ล้านบาท

“สมาคมฯ ได้ยกระดับเป็นองค์กรบริหารความเสี่ยงภัยพิบัติแห่งชาติไปแล้ว เราไม่ได้คิดแค่ทำธุรกิจเพื่อหารายได้จากการทำ ประกันภัย อย่างเดียว ที่ผ่านมาเราได้ทำ ประกันภัย ความเสียหายข้าวนาปี 27 ล้านไร่ มียอดเคลมจากน้ำท่วมทยอยเข้ามาไม่มาก ต่อไปก็จะมีแผนช่วยเหลือชาวนาอย่างยั่งยืนด้วย”

การให้ความช่วยเหลือชาวนา สมาคมฯ ได้แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะแรก ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2559 ถึงมกราคม 2560 จะเป็นการซื้อข้าวสารตรงจากชาวนา เพื่อนำไปแจกจ่ายและจำหน่ายให้กับประชาชน ภายใต้ชื่อโครงการ “ ประกันภัย ให้ข้าวเป็นของขวัญ” โดยให้สมาชิกเป็นบริษัทขนาดใหญ่ ซื้อไปรายละ 10 ตัน บริษัทขนาดกลาง รายละ 5 ตัน และบริษัทขนาดเล็ก รายละ 1 ตัน เป็นอย่างน้อย

นอกจากนี้ ยังได้ประชาสัมพันธ์เชิญชวนองค์กรต่างๆ ที่สนใจช่วยเหลือชาวนาที่กำลังเดือดร้อน สามารถมาซื้อข้าวสารจากสมาคมฯ ได้เช่นกัน พร้อมกันนี้ได้จัดกิจกรรมร่วมกับบริษัทสมาชิก ส่งพนักงานจิตอาสาและรถสำหรับขายข้าว เพื่อร่วมกิจกรรมขายข้าวช่วยชาวนาตามสถานที่ต่างๆ เช่น สำนักงานบริษัท สำนักงานตัวแทน หรืออาคารร้านค้าต่างๆ ในลักษณะเป็นรถโมบายล์ขายข้าวช่วยชาวนา ซึ่งสมาคมฯ ได้ดำเนินการจัดเตรียมเสื้อสำหรับพนักงานจิตอาสา และป้ายไวนิลติดรถสำหรับขายข้าวโดยตรงถึงมือผู้บริโภค ซึ่งถือเป็นกิจกรรมช่วยเหลือสังคมในนามของภาคธุรกิจประกันวินาศภัย ที่ร่วมกันช่วยเหลือชาวนาให้ขายข้าวได้ในราคาที่เหมาะสม ในช่วงภาวะราคาข้าวตกต่ำอีกทางหนึ่ง โดยได้เตรียมรถโมบายล์ จำนวน 20 คันออกไปขายข้าวให้ทั่วถึงตามชุมชนต่างๆ

ระยะที่ 2 ช่วงตั้งตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2560 เป็นต้นไป บริษัทต่างๆ ที่ต้องการซื้อข้าวสาร สามารถสั่งซื้อได้จากสมาคมฯ หลังจากได้เข้าไปรับซื้อข้าวสารจากสหกรณ์ หรือวิสาหกิจชุมชนแล้ว

ระยะที่ 3 ทางสมาคมฯ จะเข้าไปยกระดับส่งเสริมชาวนาให้ปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์ เพื่อลดต้นทุนการผลิต ราคาข้าวเพิ่มขึ้น และปลอดสารพิษด้วย โดยเฉพาะคนไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ซึ่งปัจจุบันจะเป็นโรคไม่ติดต่อรุนแรง เช่น เบาหวาน ความดันสูง หัวใจ ส่วนหนึ่งสาเหตุมาจากการบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนสารพิษ ดังนั้นการจุดประกายปลูกข้าวปลอดสารพิษ จะทำให้คนไทยสุขภาพแข็งแรง และจำหน่ายได้ราคาสูงด้วย

“ข้าวสารที่เราจะไปจำหน่าย ขอให้สบายใจได้เรื่องข้าวปลอมปน เพราะเราจะส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ดูขั้นตอนการผลิต เพื่อให้ได้ข้าวมีมาตรฐาน และคุณภาพดี ถึงมือผู้บริโภคอย่างแน่นอน”

ที่มา : สยามธุรกิจ