ธนาคารเวลส์ ฟาร์โก แบงก์ ที่มี สินทรัพย์มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในสหรัฐฯ แนะนำพนักงานงดขายผลิตภัณฑ์หลักทรัพย์ ควบผลิตภัณฑ์ ประกันภัย หรือที่เรียกว่า ครอสเซลลิ่ง (Cross Selling) พร้อมกับยกเลิกเป้าการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของพนักงานในส่วนธนาคาร เพื่อลูกค้ารายย่อย ในเดือนมกราคม 2559 หลังจากเวลส์ ฟาร์โก ถูกปรับเป็นเงินสูงถึง 185 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 6.47 พันล้านบาท เนื่องจากกรณีอื้อฉาวที่กระฉ่อนไปทั่วสหรัฐฯ และโลก กรณีพนักงานของธนาคาร ใช้ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าไปเปิดบัญชีโดยไม่ได้รับอนุญาต เพียงเพื่อจะเพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์ด้านการเงินของธนาคาร

รายงานระบุว่า เวลส์ ฟาร์โก ได้ส่งหนังสือเวียนถึงพนักงานมีใจความว่า "กรุณางดพาดพิงถึงผลิตภัณฑ์ ยกเว้นกรณีลูกค้าถามถึง จนกว่าจะมีการประกาศเพิ่มเติม"

ทั้งนี้ เวลส์ ฟาร์โก ถูกปรับเป็นเงิน 185 ล้านดอลลาร์ หลังจากมีข้อมูลระบุว่า พนักงานของเวลส์ ฟาร์โก ได้เปิดบัญชีลูกค้าเพิ่ม รวมถึงเปิดบัญชีบัตรเครดิต โดยไม่ได้รับอนุญาตจากลูกค้าเป็นจำนวนกว่า 2 ล้านบัญชี เพียงเพื่อจะเพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์ด้านการเงินของธนาคาร โดยความผิดนี้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2554

เวลส์ ฟาร์โก จะต้องจ่ายค่าปรับมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ ให้กับสำนักงานคุ้มครองด้านการเงินของผู้บริโภคสหรัฐฯ หรือ CFPB นอกจากนี้ยังต้องจ่ายค่าปรับ 35 ล้านดอลลาร์ ให้กับสำนักงานกำกับสถาบันการเงินแห่งสหรัฐอเมริกา และจ่ายอีก 50 ล้านดอลลาร์ ให้กับสำนักงานอัยการนครลอสแองเจลิส

เจ้าหน้าที่ CFPB ระบุว่า พนักงานฝ่ายขายของเวลส์ ฟาร์โก ได้เปิดบัญชีธนาคารและบัญชีบัตรเครดิตกว่า 2 ล้านบัญชี โดยไม่ได้รับอนุญาตจากลูกค้า โดยเงินในบัญชีของลูกค้าได้ถูกโอนไปยังบัญชีใหม่ โดยไม่ได้รับอนุญาต อีกทั้งยังพบว่ามีการออกเดบิตการ์ด และตั้งรหัสอิเล็กทรอนิกส์ (PIN) โดยไม่ได้แจ้งให้ลูกค้าทราบด้วย นอกจากนี้ พนักงานของเวลส์ ฟาร์โก ได้สร้างอีเมลปลอมเพื่อลงทะเบียนในชื่อลูกค้า ในการใช้บริการธนาคารทางออนไลน์ด้วย โดยกรณีนี้มีพนักงานที่เกี่ยวข้องกว่า 5,300 คน

เวลส์ ฟาร์โก เพิ่งขึ้นตำแหน่งแบงค์ใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐฯ ในปีนี้ โดยแซงหน้าแบงค์ใหญ่เจ้าถิ่นเดิมอย่างเช่น ซิตี้ กรุ๊ป มาได้ โดย เวลส์ ฟาร์โก นั้นขึ้นชื่อในเรื่องความเก่งของการ "ขายของ" โดยเฉพาะการขายพ่วงผลิตภัณฑ์ทางการเงินของธนาคาร ตั้งแต่บัญชีเงินฝากหลายประเภท ไปจนถึงบัตรเดบิต บัตรเครดิต ประกันภัย สินเชื่อ และอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกปลูกฝังมาอย่างต่อเนื่อง จากยุคของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) คนเก่า ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากวัฒนธรรมการไล่บี้ ทำยอดของธนาคาร และการขาดการตรวจสอบภายในที่รัดกุมเพียงพอต่อพนักงาน

อย่างไรก็ดี กรณีนี้จุดชนวนความสนใจให้กับหลายฝ่าย โดยเฉพาะรัฐบาล ให้หันมาสนใจการล้อมคอก ภาคการเงินการธนาคารในประเทศอีกครั้ง โดยรัฐมนตรีคัลงสหรัฐฯ ได้ให้ความเห็นกับซ๊เอ็นบีซีว่า อาจต้องมีการล้อมคอก เพิ่มการกำกับดูแล ภาคธนาคารให้รัดกุมยิ่งขึ้น

ที่มา : สยามอินชัวร์ นิวส์