นายกสภาวิชาชีพบัญชี เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัท ประกันชีวิต มีฐานะทางการเงิน ทั้งเงินกองทุน และการตั้งสำรองสูงมาก มีความแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม บริษัท ประกันชีวิต จะต้องลงบัญชีให้ถูกต้องตามเกณฑ์ใหม่ ตามหลักสากล โดยเฉพาะการทดสอบความเพียงพอของหนี้สิน ที่ให้ใช้มูลค่าหนี้สินปัจจุบัน แล้วไปดูว่าเงินกองทุนที่มีเงินสำรองที่ตั้งไว้ เพียงพอรองรับหนี้สินในอนาคตหรือไม่
ยกตัวอย่างว่า เดิมบริษัท ประกันภัย สัญญาจะจ่ายผลตอบแทนให้ลูกค้า 4% เพราะสามารถหาผลตอบแทนได้ในระดับสูง แต่ปัจจุบันได้ผลตอบแทนเพียง 1.75% บริษัทจึงมีภาระตั้งสำรองเพิ่ม เพื่อให้เพียงพอกับหนี้สิน ที่จะต้องจ่ายคืนให้กับผู้เอา ประกันภัย
"ถ้ายังใช้ราคาเดิมบันทึก จะทำให้หนี้สินน้อย กำไรเยอะ พอกำไรมาก ก็จะนำไปจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้น แต่ลูกค้า หรือผู้ถือกรมธรรม์ ไม่มีตัวเลขอะไรมารองรับในระยะยาว"
นอกจากนี้ สภาวิชาชีพบัญชีไม่มีความเห็นขัดแย้งกับแนวทางการคำนวณ ที่คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เสนอขอใช้มูลค่าหนี้สิน ณ ไตรมาสปัจจุบัน สัดส่วน 51% และใช้มูลค่าหนี้สินย้อนหลังไป 7 ไตรมาส บวกเพิ่มส่วนต่างของมูลค่าของหนี้สินไม่มีสภาพคล่อง กับหนี้สินที่มีสภาพคล่อง 40% แต่ผู้ที่ตัดสินต้องเป็น คปภ.และธุรกิจ ประกันชีวิต เพราะเป็นผู้กำกับธุรกิจโดยตรง และธุรกิจ ประกันชีวิต เป็นผู้นำเงินของประชาชนไปบริหาร จึงต้องตัดสินใจเองว่า มีความเพียงพอต่อการชาระหนี้คืน หรือคืนเงิน ให้กับประชาชนตามสัญญาแน่นอน ส่วนสภาวิชาชีพบัญชี ไม่มีหน้าที่ชี้ขาดว่าจะต้องใช้วิธีใด
ขณะที่เกณฑ์การทดสอบความเพียงพอของหนี้สิน โดยใช้ราคาปัจจุบัน ได้หารือกับ คปภ. และธุรกิจ ประกันชีวิต ตั้งแต่ปี 2554 เพื่อเตรียมตัวรับมือด้วยกัน
ที่มา : โพสต์ทูเดย์