ทูเดย์อินชัวร์ จำหน่าย ประกันภัยรถยนต์ ราคาถูก
สำหรับสมาชิก todayinsure.com ระบบงาน TodayInsure C.R.M. หมายเลขใบอนุญาตของ TodayInsure: 5104006215
ขณะนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัตหน้าที่อยู่ โทรหาเรา (02) 952-7322, (086)378-9671 หรือ email: sales@todayinsure.com

ข่าวประกันภัยทั่วไป

เบนซ์-BMW ทำหมันเครื่อง“เบนซิน” ลุย รถยนต์ ไฮบริด-ดีเซล

ค่าย รถยนต์ หรู ปรับทัพ รถยนต์ ในการทำตลาด หลังโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ของรัฐบาล เครื่องยนต์ดีเซล ไฮบริด (ปลั๊ก-อิน) แทบไม่กระทบ

เบนซ์-BMW ทำหมันเครื่อง“เบนซิน” ลุย รถยนต์ ไฮบริด-ดีเซล

มิถุนายน
20

สองค่าย รถยนต์ หรูจากเยอรมนี “เมอร์เซเดส-เบนซ์” และ “บีเอ็มดับเบิลยู” ทยอยปรับกระบวนทัพ ขยับไลน์อัพ รถยนต์ ในการทำตลาด หลังการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ของรัฐบาล เหตุเครื่องยนต์เบนซินขนาดต่ำกว่า 2.0 ลิตร ปล่อยไอเสียไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร แม้รองรับแก๊สโซฮอล์ E20 ยังโดนภาษีเพิ่ม 5% ขณะที่เครื่องยนต์ดีเซลแทบไม่ได้รับผลกระทบ รวมถึง รถยนต์ ไฮบริด (ปลั๊ก-อิน) ที่ปล่อยไอเสียต่ำทำราคาได้น่าสนใจกว่า

ถือเป็นเรื่องไม่เกินความคาดหมาย หลังจากรัฐบาลปรับโครงสร้างภาษี รถยนต์ ใหม่ให้เก็บตามการปล่อยไอเสีย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 ว่าต้องมี รถยนต์ หลายรุ่นโดนถอดออกไปจากการทำตลาด เนื่องจากไม่ได้รับแต้มต่อเหมือนเดิม โดยเฉพาะรถเครื่องยนต์เบนซิน ที่เคยได้ภาษีสรรพสามิตอัตราพิเศษ เมื่อรองรับน้ำมันแก็สโซฮอล์ E20 และ E85 ผิดกับรถเครื่องยนต์ดีเซลที่เดิมแทบไม่ได้สิทธิพิเศษใดๆ (นอกจากคุณจะเป็นปิกอัพหรือพีพีวี) แต่สถาณการณ์กลับตาลปัดตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยสองค่าย รถยนต์ อย่าง “เมอร์เซเดส-เบนซ์” และ “บีเอ็มดับเบิลยู” เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด

เริ่มจาก “เมอร์เซเดส-เบนซ์” กับ “อี-คลาส โฉมใหม่” (W213) ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีขายเพียงรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร E220d ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท (รุ่นนำเข้าทั้งคัน) ส่วนทางเลือกเครื่องยนต์เบนซินรุ่น E200 ราคา 3.39 ล้านบาทนั้น เป็นโฉมเก่ารุ่นประกอบในประเทศ ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทยเลิกทำไปแล้ว แต่ยังมี รถยนต์ ค้างสต็อกที่ดีลเลอร์อยู่จำนวนหนึ่ง

เช่นเดียวกับรุ่น Bluetec Hybrid เทคโนโลยีเก่า ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.1 ลิตร ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ก็รอวันปลดเกษียน เนื่องจากในปัจจุบันเทคโนโลยีไฮบริดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ยกระดับไปเป็นปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่เริ่มใช้กับ “ซี-คลาส” และ “เอส-คลาส” แล้ว

ในส่วน “ซี-คลาส” (W205) ตัวถังซีดาน (ซาลูน) ไม่ทำตลาดรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน C250 และ C180 มานานพอสมควรแล้ว ยิ่งมีรุ่นปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่ได้ภาษีสรรพสามิตที่สอดคล้องกับการขายมากกว่า (ก่อนหน้านั้นก็ขายตัว Bluetec Hybrid) ทั้งตัวถังซีดานและเอสเตท ในรหัส 350e ราคาเริ่มต้น 2.64 ล้านบาท ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับ รถยนต์ รุ่นธง “เอส-คลาส” ตัวถังซีดานที่ทำตลาดเฉพาะรุ่นปลั๊ก-อินไฮบริด

ทว่าที่โดนใจไปเต็มๆ เห็นจะเป็น CLS 250d เครื่องยนต์ดีเซล 2.1 ลิตร เพราะเดิมเสียภาษีสรรพสามิตอัตรา 35% เพราะขนาดเครื่องยนต์เกิน 2.0 ลิตร แต่สำหรับโครงสร้างภาษีใหม่ เพิ่มช่องว่างของขนาดเครื่องยนต์ ในการเสียภาษีขั้นแรกเป็นไม่เกิน 3.0 ลิตร ดังนั้น CLS 250d ขนาดเครื่องยนต์เกิน 2.0 ลิตรจึงไม่มีผล ทว่าการปล่อยไอเสียต่ำกว่า 150 กรัมต่อกิโลเมตร จึงเสียภาษีในพิกัดใหม่เพียง 30%

อย่างไรก็ตาม แม้ รถยนต์ รุ่นหลักๆ หรือกลุ่มพี่ใหญ่ จะหันหน้าไปทางเครื่องยนต์ดีเซล และไฮบริด แต่กลุ่มน้องเล็ก NGCC (New Generation Compact Car) ยังคงวางเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.6 ลิตร และ 2.0 ลิตร แต่ก็เหลือขายเพียงรุ่น CLA และครอสโอเวอร์ GLA

สำหรับ รถยนต์ ทั้งสองรุ่นเป็นการประกอบในประเทศ จึงทำราคาได้น่าสนใจ หรือเริ่มต้น 2.09 ล้านบาท สำหรับ GLA และ 2.14 ล้านบาท สำหรับ CLA ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ต้องการขยายฐานลูกค้า หรือเป็นทางเลือกในระดับ Entry Level ของแบรนด์ ขณะเดียวกันก็เพื่อวางตำแหน่งสินค้าให้ชัดเจน ต่างจากกลุ่ม Contemporary อย่าง ซี, อี, เอส-คลาส และเอสยูวีรุ่นอื่นๆ อีกด้วย

ข้ามมาที่ฝั่ง “บีเอ็มดับเบิลยู” มีสองไฮไลท์ที่เตรียมไว้รองรับโครงสร้างภาษีใหม่ อย่าง ซีรีย์3 ปลั๊ก-อินไฮบริด 330e M Sport แม้จะเป็นรุ่นนำเข้าทั้งคัน แต่ยังสามารถทำราคาให้แข่งขันกับ ซี-คลาส C350e ได้สูสี ด้วยค่าตัว 3.099 ล้านบาท รวมถึงเอสยูวีรุ่นเริ่มต้น X1 โมเดลเชนจ์ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ที่การเปิดตัวช่วงแรกมากับรุ่นนำเข้าทั้งคัน ราคา 2.599 ล้านบาท แต่ล่าสุดมีการแจ้งกับลูกค้าว่า X1 รุ่นประกอบในประเทศ จะมี รถยนต์ พร้อมส่งมอบ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีนี้ ด้วยราคา 2.499 ล้านบาท

เช่นเดียวกับเอสยูวีรุ่นอื่นๆ ของค่าย ที่มีพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลเกือบทั้งหมด มีเพียง X3 xDrive20i ที่ยังเหนียวกับเครื่องยนต์เบนซิน ขณะที่ X5 มีทั้งเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร และรุ่นปลั๊ก-อินไฮบริด ที่เตรียมขึ้นไลน์ประกอบในประเทศเช่นกัน

ส่วน รถยนต์ เครื่องยนต์เบนซิน ที่ บีเอ็มดับเบิลยู ถอดออกจากตลาดไปแล้ว มีทั้ง ซีรีย์4 รุ่น 420i และ 428i (ตัวแรง) รวมถึง ซีรีย์5 รุ่น 520i โดยทีเด็ดเน้นขายของ “บีเอ็มดับเบิลยู” ช่วงนี้จึงอยู่ที่ ซีรีย์5 และ ซีรีย์3 เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร บล็อกใหม่รหัส B47 ให้กำลังสุงสุด 190 แรงม้า แถมยังทำเป็นล็อตพิเศษ ลดออปชัน พร้อมกดราคาต่ำมายั่วกระเป๋าเงินลูกค้า

สำหรับ ซีรีย์ 5 ใช้ชื่อรุ่นว่า 520d Elite หรือก็คือรุ่นธรรมดาที่ไม่ใส่ชุดแต่ง M Sport พร้อมขาย 2.99 ล้านบาท (520d M Sport ขาย 3.599 ล้านบาท) อาจจะเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของ ซีรีย์5 รหัส F10 เพราะโฉมใหม่โมเดลเชนจ์ เตรียมเปิดตัวในตลาดโลกไม่เกินปลายปีนี้แล้ว

ขณะที่ ซีรีย์3 ก็น่าจะเรียกลูกค้าได้เช่นกัน กับรุ่น 320d Iconic ตั้งชื่อเท่เก๋ไก๋ แต่ตัดออปชันอย่างระบบนำทางเนวิเกเตอร์ ระบบคอมฟอร์ตแอคเซส (เข้าไปใน รถยนต์ โดยไม่ต้องกดกุญแจรีโมทเปิดประตู) รวมถึงม่านบังแดดหลังควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า เป็นต้น สนนราคาขายเพียง 2.299 ล้านบาท

ที่มา : ผู้จัดการ Online