รายงานคาดว่า การใช้ รถยนต์ ที่ใช้ระบบไร้คนขับโดยสมบูรณ์ในสหรัฐ มีแนวโน้มเกิดขึ้นในปี 2030 และมีแนวโน้มที่จะประกาศใช้เป็นมาตรฐานของ รถยนต์ ทุกคันที่จำหน่ายในปี 2035 ทั้งนี้ คาดว่าจะมีการติดตั้งเทคโนโลยีดังกล่าวใน รถยนต์ ส่วนใหญ่ของสหรัฐภายในปี 2045 นอกจากนี้ คาดว่าในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีต่างๆของ รถยนต์ เช่น ระบบเบรกฉุกเฉินจะช่วยเพิ่มกำไรต่อบริษัท ประกันภัย เนื่องจากจะช่วยลดการชนกันของรถยนต์ ความปลอดภัยมีมากขึ้น

บทวิเคราะห์ของการใช้ รถยนต์ ไร้คนขับที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัท ประกันภัย
1. หากเกิดความเสียหาย คุณอาจยังต้องรับผิดชอบ
ในยุคที่มนุษย์ขับรถด้วยตนเอง หากเกิดความสูญเสีย ผู้ขับต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบ แต่ในยุคที่ รถยนต์ ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง เมื่อเกิดความสูญเสีย หรือความเสียหาย คำถามที่เกิดคือใครจะเป็นคนรับผิดชอบ ตัวเจ้าของรถ หรือบริษัทผู้ผลิตรถ

2. ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนอะไหล่ รถยนต์ จะแพงขึ้น
การเปลี่ยนอะไหล่ของ รถยนต์ ไฮเทคจะมีความซับซ้อน และมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น รวมถึงจำเป็นต้องมีช่างผู้ชำนาญเฉพาะทางเป็นผู้ดูแล

3. ค่า ประกันภัยรถยนต์ อาจลดลง
ธุรกิจ ประกันภัย จะเชื่อมั่นในความปลอดภัยของระบบ รถยนต์ ไร้คนขับมากกว่าเชื่อมั่นในตัวมนุษย์ และนั่นอาจทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการ ประกันภัย ของแต่ละครอบครัวลดลงได้จำนวนหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับลดจนเห็นเป็นรูปธรรม เพราะยังมีอีกหลายปัญหาที่ รถยนต์ ไร้คนขับป้องกันไม่ได้

4. คุณอาจไม่จำเป็นต้องมี รถยนต์ ส่วนตัวอีกต่อไป
เมื่อ รถยนต์ ในอนาคตสามารถเดินทางได้ด้วยตัวเอง รูปแบบการครอบครอง รถยนต์ ในอนาคตจึงอาจเป็นการแชร์ รถยนต์ กันใช้ในกลุ่มที่เป็นทรัพย์สินร่วมกัน หรืออาจเรียกแท็กซี่อัตโนมัติมาใช้ก็ได้

ที่มา : ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ทูเดย์อินชัวร์