เทคโนโลยีดิจิตอลที่ก้าวเข้ามามีบทบาท ทั้งต่อไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของประชาชน และการประกอบธุรกิจ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ต่อวิธีการทำธุรกิจ ไม่เว้นกระทั่งภาคการเงินและ ประกันภัย ที่ต้องเตรียมตัวรับการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะกับเทคโนโลยีทางการเงินหรือ ฟินเทค (Financial Technology) ถึงขนาดที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้บรรจุเรื่องนี้ไว้ใน "แผนการพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 3" ที่จะใช้ตั้งแต่ปี 2559-2563 ด้วย

จี้บริษัทใช้ "ฟินเทค" เข้าถึงข้อมูล เพิ่มความได้เปรียบ ลดคอสต์

เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า ประเทศไทยเข้าสู่ฟินเทค คือ เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท มีนวัตกรรมอินโนเวชั่นใหม่ๆ เกิดขึ้น ฟินเทคเข้าไปในสถาบันการเงินต่างๆ ที่จะอาศัยอินโนเวชั่น หรือด้านเทคโนโลยีมาพัฒนาระบบการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องข้อมูลต่างๆ เช่น ข้อมูลเรื่องของปัจจัยต่างๆ ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภค การเข้าถึงแหล่งข้อมูลค่อนข้างจำกัด แต่เวลานี้เป็น "บิ๊ก ดาต้า" คลังของข้อมูลใหญ่มาก

"ปัญหาของบริษัท ประกันภัย ไทย คือ มีหลายกลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มมีศักยภาพไม่เหมือนกัน สิ่งที่เราจะกระตุ้นให้บริษัท ประกันภัย ไทยใช้ประโยชน์จากเรื่องของ ฟินเทค ให้ดีขึ้นคือ คุณต้องเอาข้อมูลที่ได้จากคลังข้อมูลใหญ่ๆ นำไปวิเคราะห์ในการออกผลิตภัณฑ์ ประกันภัย คุณจะทำตามแฟชั่น ตามกระแสไม่ได้ เมื่อคุณได้เอาข้อมูลไปวิเคราะห์แล้วไปใช้ให้เกิดประโยชน์ คนไหนสามารถเข้าสู่คลังข้อมูลได้มาก มีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบ ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจก็ต้องลด บริษัท ประกันภัย ของไทยอยู่ในกลุ่มที่ค่าใช่จายในการประกอบธุรกิจค่อนข้างสูง ทำให้จำเป็นต้องเพิ่มเบี้ย ประกันภัย "

อย่างไรก็ดี เรื่องของเทคโนโลยีต้องดูด้วยว่า ตัวรีสอร์ซที่จะมาใช้ประโยชน์ร่วมกันสามารถที่จะแชร์กันได้แค่ไหน ระบบของการทำงาน เรื่องของบุคลากรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ จะใช้ประโยชน์ได้แค่ไหน สิ่งเหล่านี้อยู่ในกลุ่มที่สำนักงานคปภ. ดูว่าจะทำอย่างไรให้บริษัท ประกันภัย สามารถที่จะต่อสู้ได้ในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ขณะเดียวกันก็ต้องมีเสถียรภาพ ระบบเงินกองทุนก็ต้องเพิ่มให้เกิดความมั่นคง ต้องดำเนินการไปพร้อมๆ กัน

ที่มา : สยามธุรกิจ