นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า สมาคมฯ จะทำหนังสือถึงเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจ ประกันภัย (คปภ.) เพื่อขอแยกพิกัดอัตรา เบี้ยประกันภัยรถยนต์ ให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ ให้สอดคล้องกับต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอะไหล่ รถยนต์ ในแต่ละปีปรับเพิ่มขึ้น 10% และค่าซ่อมก็มีราคาแพงขึ้น ขณะที่อัตราเบี้ย ประกันภัยรถยนต์ ในปัจจุบันไม่สะท้อนกับต้นทุนที่แท้จริง ทำให้ประชาชนสามารถเปรียบเทียบ รถยนต์ แต่ละประเภทได้ว่า แต่ละค่ายมีค่าซ่อมและอะไหล่แพงมากน้อยเพียงใด หาก คปภ.เห็นชอบก็สามารถประกาศใช้ได้ทันที
“ปัจจุบันพิกัดเบี้ย ประกันภัยรถยนต์ มี 5 กลุ่ม ซึ่ง กลุ่มที่ 1 เช่น รถยี่ห้อเฟอร์รารี่ จากัวร์ กลุ่มที่ 2 เช่น ออดี้ บีเอ็มดับเบิลยู เลกซัส กลุ่ม 3 เช่น รถเชฟโรเลต เฟียต ฟอร์ด กลุ่ม 4 เช่น มาสด้า รุ่น 323 โตโยต้า รุ่นโคโรลล่า และสปอร์ตไรเดอร์ ส่วนกลุ่ม 5 คือ ฮอนด้าซิตี้ มาสด้า นิสสัน เอ็นวี นิสสัน ซันนี่ และโตโยต้า โซลูน่า ซึ่งรถยนต์กลุ่ม 4 และกลุ่ม 5 ค่าซ่อมและอะไหล่แพง โดยเชื่อว่าการแยกพิกัดเบี้ย ประกันภัยรถยนต์ จะทำให้เบี้ย ประกันภัย เสรีมากขึ้น”
นอกจากนี้ สมาคมฯ มีแผนส่งเสริมให้ธุรกิจสมาคมประกันวินาศภัย ใช้ดิจิตอลอินชัวรันซ์ เข้ามาบริหารงานมากขึ้น แทนการใช้บุคลากร เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการทำงาน เช่น การเคลมค่าสินไหมดทดแทน ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพราะปัจจุบันอัตราสินไหมทดแทน หรือลอสเรโชอยู่ที่ 62% หากรวมค่าคอมมิชชั่น หรือเงินพิเศษอีก 18% และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก 18% ทำให้บริษัท ประกันภัย ขาดทุน ขณะที่ต่างประเทศ อัตราค่าสินไหมทดแทนอยู่ที่ 73% กลับมีกำไร เนื่องจากนำระบบออนไลน์มาใช้ในการทำงาน
ที่มา : ไทยรัฐ