ตามที่ "เอซ กรุ๊ป" เสนอซื้อหุ้นสามัญของ บริษัทไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ SCSMG ที่บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ถืออยู่ทั้งจำนวน 60.86% กว่า 135 ล้านหุ้น ในราคา 27.60 บาทต่อหุ้นมูลค่า 6,150 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนเพิ่มที่อัตราประมาณ 17.9% ของราคาปิด ณ วันที่ 10 มกราคม 2557 นับเป็นการรุกคืบของกลุ่ม ACE Group และบริษัทในเครือ ACE ที่เป็นบริษัท ประกันภัย รายใหญ่ระดับโลก

ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า การขายหุ้นสามัญ 60.86% ของ SCSMG ให้แก่ ACE เป็นผลมาจากความพยายามเสาะแสวงหาผู้ซื้อที่มีความเหมาะสม ที่จะเข้ามาช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน และยังจะเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจที่สำคัญ ที่สามารถจะเอื้อประโยชน์แก่ บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ ในการเติมเต็มธุรกิจทางด้าน Bancassurrance

โดยทางธนาคารยังมีความตั้งใจที่จะช่วยจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ SCSMG ผ่านช่องทางเครือข่ายสาขาของธนาคารที่มีอยู่ทั่วประเทศ ภายใต้เงื่อนไขตามที่จะได้ทำความตกลงกันต่อไป โดยภายหลังจากได้มีการขายหุ้นดังกล่าวแล้วเสร็จ ทาง ACE มีหน้าที่จะต้องดำเนินการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ SCSMG ส่วนที่เหลืออยู่อีกประมาณ 39.14% จากผู้ถือหุ้นรายอื่น

ขณะที่ข่าวเปิดเผยว่า ที่ผ่านมา บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ มีแผนจะขายหุ้น SCSMG ก่อนปี 2554 แต่ยังไม่สามารถตกลงด้านราคา เนื่องจากสินทรัพย์ของบริษัทมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท เมื่อทาง เอซ กรุ๊ป เสนอซื้อในราคาที่พอใจ ทำให้สามารถตัดสินใจในระยะเวลาไม่ถึง 3 เดือน ซึ่ง เอซ กรุ๊ป ปัจจุบันดำเนินธุรกิจในไทยภายใต้ชื่อ บริษัท เอซไอเอ็นเอ โอเวอร์ซีส์ อินชัวร์รันซ์ จำกัด สาขาประเทศไทย หรือ เอซ อินชัวรันซ์ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจ ประกันภัย (คปภ.) จะอนุญาตให้ เอซ กรุ๊ป ถือใบอนุญาต หรือไลเซนส์เพียงใบเดียว (one presence)

ซึ่งภายหลังจบกระบวนการซื้อหุ้นสามัญ เอซ กรุ๊ป อาจจะควบรวมกิจการ (SCSMG กับ เอซ อินชัวรันซ์) คงเหลือเพียงไลเซนส์เดียว เช่นเดียวกับบริษัท มิตซุยสุมิโตโม อินชัวรันส์ จำกัด สาขาประเทศไทย ที่เข้าซื้อบริษัท ประกันภัย ไทย แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เอ็มเอสไอจี ประกันภัย (ประเทศไทย) ขณะเดียวกันยังเป็นการลดความซ้ำซ้อนในการประกอบธุรกิจ ประกันภัย โดยยังคงมี บมจ.เทเวศประกันภัย เป็นพันธมิตรอยู่ อย่างไรก็ตามการซื้อขายหุ้นสามัญครั้งนี้ ยังคงมีตัวแปรที่ต้องผ่านการอนุมัติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังภายใน 3-6 เดือนข้างหน้า

ด้านกรรมการผู้จัดการ SCSMG บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (บมจ.) เปิดเผยถึงแนวโน้มการทำตลาดว่า โจทย์ปีนี้ต้องพยายามหาสินค้า หรือบริการตอบสนองความคุ้มค่าของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เนื่องจากสัญญาณกำลังซื้อภาพรวมทั้งระบบที่แผ่วลง ทำให้ลูกค้าระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ดังนั้นบริษัทจึงต้องหาโปรดักต์เป็นทางเลือกให้กับลูกค้า ขณะเดียวกันยังเป็นการทำให้บริษัทสูญเสียน้อยลงด้วย โดยพฤติกรรมของผู้บริโภคส่วนใหญ่นั้น พบว่าระยะหลังผู้บริโภคมีการควบคุมค่าใช้จ่าย และกรมธรรม์หรือ ประกันภัย จะถูกควบคุม หรือตัดออกเป็นส่วนแรก

สำหรับปีนี้ บริษัทมีแผนจะพัฒนาโปรดักต์ใหม่ออกมาทดแทนประเภทเดิม เพื่อเสนอความคุ้มครองลูกค้าในราคาที่ถูกลงนั้น ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนขออนุญาตจาก คปภ. ส่วนกลุ่มเป้าหมายยังคงเน้นฐานลูกค้าเก่า เช่น ลูกค้า ประกันภัยรถยนต์ และไม่ใช่ ประกันภัยรถยนต์ โดยฐานลูกค้าเป้าหมายยังเอื้อต่อการเสนอบริการเช่น ประกันภัยรถยนต์ มีฐานลูกค้าเดิมเกือบ 2 แสนราย, ประกันภัย อุบัติเหตุส่วนบุคคล (พีเอ) บริษัทมีฐานเดิมประมาณล้านราย, ประกันภัย บ้าน-อสังหาริมทรัพย์เกือบ 2 แสนราย แต่ในส่วนของกลุ่มลูกค้าบริษัท/นิติบุคคล ซึ่งมีฐานลูกค้าหลักพันรายนั้น เท่าที่ฟังข่าวส่วนใหญ่ต่างระมัดระวังกันอยู่

"ปีนี้ทุกบริษัทจะโฟกัสลูกค้าต่ออายุมากที่สุด หากไม่ไหวก็ต้องมีทางเลือกให้ลูกค้า ซึ่งลูกค้าเองจะระวังการใช้จ่าย โดยตัดเรื่อง ประกันภัย หรือลดความคุ้มครอง ไปซื้อของถูกกว่า เช่น ลูกค้าที่เคยใช้ ประกันภัยรถยนต์ชั้น1 มีทางเลือกไปใช้ ประกันภัยรถยนต์ ประเภท2 หรือ 3 โดยยอมรับว่าปีนี้เหนื่อยอีกแล้ว เพราะมี Sign มาจากไตรมาส 4 ปีก่อนแล้ว ดังนั้นต้อง Wait and See"

ทั้งนี้ "เอซ กรุ๊ป" ก่อตั้งเมื่อปี 2528 ในเมืองซูริก เบอร์มิวดา มีบริษัท เอซ ลิมิเต็ดฯ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ เอซ กรุ๊ป เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กปี 2536 (NYSE:ACE) โดยให้บริการรับ ประกันภัย ทรัพย์สิน ประกันภัย เบ็ดเตล็ดหลายประเภทแก่บริษัทข้ามชาติ และบริษัทในประเทศ ด้วยเครือข่ายสาขากว่า 53 ประเทศทั่วโลก ในปี 2555 มีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่า 9.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเบี้ย ประกันภัย รับมากกว่า 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนในไทยยังดำเนินธุรกิจประกันชีวิต ภายใต้ชื่อบริษัทเอซ ไลฟ์ แอสชัวรันส์ จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ปี 2544 เอซ กรุ๊ป จึงมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ และรายย่อย โดยผ่านช่องทางจำหน่ายที่หลากหลาย เนื่องจากมีสถาบันการเงิน และบริษัทพันธมิตรที่แข็งแกร่งในการเสนอกรมธรรม์คุ้มครองกับลูกค้า

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ