หลังกระบวนการซื้อกิจการ "ไอเอ็นจีประกันชีวิต" ในประเทศไทยแล้วเสร็จตั้งแต่ 28 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา ถึงเวลาที่เจ้าของใหม่อย่าง "แปซิฟิค เซ็นจูรี่ กรุ๊ป" หรือพีซีจี เปิดตัว "ซีอีโอ" ที่จะมาทำหน้าที่ขับเคลื่อนธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน อดีตซีอีโอกรุงไทยแอกซ่าประกันชีวิต ที่วันนี้จะต้องเริ่มต้นสร้างองค์กรใหม่ให้เติบโต เหมือนกับที่เคยทำสำเร็จมาแล้วในอดีต
"ผมมีสัญญากับทางพีซีจีเป็นเวลา 5 ปี ในการนำพาไอเอ็นจีฯ ให้บรรลุเป้าหมายที่ทางพีซีจีต้องการได้ ซึ่งเชื่อว่าทางพีซีจีเองก็มีวิสัยทัศน์ ในการสรรหาผู้บริหารที่จะมาทำงานเป็นอย่างดี และจริงจังในการกลับมาทำธุรกิจประกันชีวิตในครั้งนี้ ขณะเดียวกันพีซีจีก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หรือของยุโรป เพราะโฟกัสธุรกิจเฉพาะในเอเชียแปซิฟิกเท่านั้น จึงมั่นใจได้ว่าจะดำเนินธุรกิจประกันชีวิตในไทยอย่างแท้จริง"
การมารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท ไอเอ็นจีประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โดยภายใน 5 ปีนี้ มีเป้าหมายที่จะผลักดันให้บริษัทฯ ขึ้นไปติดท็อปไฟว์ หรือ 1 ใน 5 บริษัทประกันชีวิต ที่มีเบี้ย ประกันภัย ใหม่สูงสุดของธุรกิจประกันชีวิตไทยให้ได้ จากปัจจุบันอยู่อันดับ 9 ของธุรกิจ
ทั้งนี้การจะติดท็อปไฟว์ให้ได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยช่องทางการขายที่เติบโตเร็วมากๆ อย่างช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ ซึ่งยืนยันว่าสายสัมพันธ์ระหว่างบริษัทฯ กับธนาคารทหารไทย (ทีเอ็มบี) ยังเป็นไปด้วยดี การที่พีซีจีเข้ามาไม่มีผลต่องานที่ทำร่วมกันอยู่ และสัญญาการเป็นพันธมิตรกับรายเดิมที่ผูกกันไว้เป็นเวลา 10 ปี ก็ยังเหลือเวลาอีกหลายปี ประมาณ 5 ปี ซึ่งทางผู้บริหารของพีซีจีเอง ก็ได้เข้าพบกับผู้บริหารระดับสูงของธนาคารทหารไทยแล้ว ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยดี
"ยืนยันได้ว่าความร่วมมือกับธนาคารทหารไทยดีมาก ซึ่งการจะทำช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ให้ประสบความสำเร็จ ไม่ได้เกิดจากว่าใครจะเป็นพันธมิตรกัน แต่มันเกิดจากการสร้างความพึงพอใจให้กับพันธมิตรทั้ง 2 ฝ่ายมากกว่า ซึ่งเราจะทำในลักษณะเสริมซึ่งกันและกัน โดยสัญญาระหว่างเรากับทหารไทยยังมีอีกหลายปี ก็น่าจะทำให้การทำงานระหว่างกัน เป็นที่พึงพอใจของทั้ง 2 ฝ่าย และทำให้เราบรรลุเป้าหมายได้"
แม้ช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ จะเป็นช่องทางที่สร้างเบี้ย xitdyo4yp ให้บริษัทมากที่สุดในขณะนี้ โดยในช่วงไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม 2556) เบี้ย ประกันภัย ปีแรก (FYP) ของบริษัทที่ทำได้ 699 ล้านบาท ในจำนวนนี้ 79% มาจากแบงก์แอสชัวรันส์ หรือเป็นเบี้ย ประกันภัย 552 ล้านบาท ขณะที่ช่องทางตัวแทนทำได้ 96 ล้านบาท หรือ 14% และอีก 50 ล้านบาท หรือ 7% มาจากช่องทางอื่นๆ แต่ยังยืนยันว่า บริษัทฯ และทางพีซีจีเน้นการขยายตลาด ผ่านหลากหลายช่องทางจำหน่าย และให้น้ำหนักความสำคัญกับทุกช่องทางขาย
โดยช่องทางตัวแทน จะเน้นการฝึกอบรม และพัฒนาศักยภาพตัวแทนเป็นหลัก ขณะที่ช่องทางอื่นๆ จะขยายธุรกิจไปยังกลุ่มใหม่ๆ เช่น ล่าสุดได้เป็นพันธมิตรกับบริษัท กรุงไทยลิสซิ่ง จำกัด (KTBL) ในการประกันชีวิต คุ้มครองสินเชื่อลูกค้าเช่าซื้อ รถยนต์ ซึ่งบริษัทจะมองหาธุรกิจในลักษณะเดียวกันนี้เพื่อขยายงาน รวมไปถึงธุรกิจอื่นๆ ด้วย เพื่อสร้างช่องทางขายใหม่ๆ และกลุ่มใหม่ๆ เช่น กลุ่มผู้สูงอายุที่เพิ่มจำนวนขึ้น ขณะที่การเจ็บป่วย และค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นการ ประกันภัย สุขภาพ และเกษียณอายุ จะเป็นเป้าหมายหนึ่งในการทำตลาดของบริษัทฯ
"เราจะใช้เวลา 6 เดือน ในการปรับปรุงองค์กรในด้านต่างๆ เพื่อที่จะบอกได้ว่า เราจะเดินไปข้างหน้าอย่างไร พร้อมกับจะเร่งทำแผนงาน เพื่อรองรับการขยายงาน 5 ปีที่วางไว้ และเพื่อจะดูว่าจะต้องใช้เม็ดเงินเท่าไร ซึ่งปัจจุบันทุนจดทะเบียนของเราเพียงพอ แต่หากต้องขยายงานในช่วง 5 ปีนี้ เราจำเป็นต้องอัดฉีดเงินเข้ามา และผู้ถือหุ้นของเรา คือ พีซีจีพร้อมสนับสนุนเต็มที่ เพราะต้องการเป็นผู้นำด้านธุรกิจประกันชีวิตในเอเชียแปซิฟิกเช่นกัน'
นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังเตรียมที่จะเปลี่ยนชื่อใหม่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งเมื่อใช้ชื่อใหม่เต็มตัว ก็จะสามารถทำการตลาดใหม่ๆ ได้เต็มที่ เช่น ตลาดช่องทางดิจิตอล เป็นต้น
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจ ประกันภัย (คปภ.) ณ 30 เมษายน 2556 ไอเอ็นจีประกันชีวิตมีทุนจดทะเบียน 2,175 ล้านบาท ชำระเต็ม
ที่มา : สยามธุรกิจ