ประธานกรรมการ และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท กรุงเทพ ประกันภัย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้ผลกำไรของบริษัทน่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ก่อนเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ เมื่อปี 2554 ที่มีกำไรสุทธิปีละประมาณ 1,200 ล้านบาท หลังจากทยอยจ่ายสินไหมทดแทน ประกันภัย จากเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปี 2554 ใกล้จบ โดยบริษัทมีสินไหมน้ำท่วมทั้งหมด 38,000 ล้านบาท รวมความเสียหายจาก ประกันภัย ธุรกิจหยุดชะงัก (BI) ส่วนใหญ่เป็นโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม ในจำนวนนี้ 30,200 ล้านบาท มีการทำ ประกันภัย ต่อกับผู้รับ ประกันภัย ต่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่วนอีก 6,200 ล้านบาท เป็นความเสียหายที่บริษัทต้องจ่ายเอง เพราะรับเสี่ยงภัยเอง แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ จากการรับ ประกันภัย ตรงประมาณ 1,400 ล้านบาท ซึ่งในค่าเสียหายทั้งหมด หากเป็นลูกค้ารายย่อยจ่ายแล้วประมาณ 98 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่รายใหญ่จ่ายแล้ว 60 เปอร์เซ็นต์ อีก 40 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ อยู่ระหว่างรอรายงานความเสียหายที่ชัดเจน ซึ่งต้องยึดหลักสากล เพราะต้องเรียกเงินจากรีอินชัวเรอส์

กล่าวถึงผลประกอบการในไตรมาสแรก แม้บริษัทจะมีกำไรสุทธิ 389.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 783.2 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังไม่แน่อีก 9 เดือนที่เหลือจะดีเหมือน 3 เดือนแรกหรือไม่ แต่ผ่านไตรมาสสองมาเดือนกว่าๆ ยังดีอยู่ ในช่วงไตรมาสแรก มีกำไรจากการขายหุ้นต่างๆ ที่ถือครองไว้ 128 ล้านบาท เป็นการขายเพื่อเอากำไร มาช่วยชดเชยรายจ่ายจากสินไหมน้ำท่วม หลังจากปีก่อนขายหุ้นได้กำไรมาประมาณ 2,000 ล้านบาท หลังจากนี้อาจจะมีขายออกอีกบ้าง แต่ไม่มากเหมือนที่ผ่านมา

ส่วนประเด็นเงินบาทแข็ง กล่าวว่า ไม่ห่วงเพราะลงทุนในประเทศเป็นหลัก ที่จะกระทบคงเป็นลงทุนต่างประเทศ ที่จะมีความเสี่ยงในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ไม่น่ากังวล เพราะบริษัทมีการลงทุนต่างประเทศไม่มากประมาณ 140-150 ล้านบาท เป็นการซื้อหุ้นบริษัท ประกันภัย ในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และลาว เทียบกับพอร์ตลงทุนในหุ้นทั้งตลาดหลักทรัพย์ และนอกตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด 4,400 ล้านบาท

สำหรับปี 2556 กรุงเทพประกันภัย ตั้งเป้าหมายเบี้ย ประกันภัย รับรวมเติบโต 15 เปอร์เซ็นต์ หรือมีเบี้ย ประกันภัย 15,000 ล้านบาท เทียบกับปี 2555 ที่มีเบี้ย ประกันภัย รับรวม 13,174 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาสแรกที่ผ่านมามีเบี้ย ประกันภัย รับรวม 4,231.7 ล้านบาท เติบโต 29 เปอร์เซ็นต์

ที่มา : ASTV ผู้จัดการออนไลน์