รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวในฐานะประธานคณะกรรมการกฎหมายและกฎระเบียบ สมาคมประกันวินาศภัยไทย ว่าในเดือนก.พ.นี้ สมาคมฯ จะเชิญสมาชิกสมาคมฯ มาหารือ กรณีที่บริษัทรับประกันภัยต่อ (รีอินชัวเรอร์) บางรายยังไม่ยอมจ่ายค่าสินไหมทดแทนน้ำท่วมเมื่อปี 2554 ทั้งนี้เพื่อร่วมกันหาทางออกให้กับสมาชิก เพราะเท่าที่ทราบ มีรีอินชัวเรอร์บางรายปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหม ซึ่งเป็นรีฯ ที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก อยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งขณะนี้สมาคมกำลังจับตามองอยู่ว่า รีอินชัวเรอร์รายนี้เขาจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

"เดิมเราคาดว่าในเดือนม.ค.นี้ จะนัดหารือกับสมาชิกเพื่อหาทางออกกรณีที่รีฯ ไม่ยอมจ่ายค่าสินไหม แต่เราคงต้องเริ่มต้นใหม่ว่า ในบรรดาสมาชิกสมาคม ได้รับข้อมูลจากการจ่ายค่าสินไหมไปมากน้อยแค่ไหนก่อน ต้องรู้ถึงปัญหาให้ชัดเจนก่อน เรื่องนี้เราคิดเอาเองไม่ได้ ดังนั้นบอร์ดกฎหมายและกฎระเบียบสมาคมฯ จึงได้กำหนดให้มีการนัดหารือในเดือนก.พ. เพื่อให้ทุกคนได้ทำการต่อสัญญาต่างประเทศก่อน และเคลียร์บางส่วนก่อน"

ส่วนกรณีที่รีฯ บางรายได้ถอนตัวออกจากประเทศไทย ด้วยเหตุผลอะไรก็ตามนั้น สิ่งที่ประกันภัยต้องตามคือ ไล่ล่าหาให้เจอ เพื่อให้มาจ่ายค่าสินไหมให้ได้ ในขณะที่รีฯ บางรายระบุว่าเหตุการณ์น้ำท่วมในประเทศไทยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา นั้นมากกว่า 1 เหตุการณ์ บางรายมองว่าเป็นแค่ 1 เหตุการณ์ และไม่ว่ารีฯ จะมองว่าน้ำท่วมในไทยมีกี่เหตุการณ์ก็ตาม ประเด็นคือรีฯ ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนก่อน ในเมื่อยังไม่ยอมจ่าย หน้าที่ของบริษัทประกันภัย คือ ต้องไล่ล่าให้รีฯ จ่ายค่าสินไหมให้ได้

ยังได้ระบุว่า ปัญหาสินไหมน้ำท่วมนั้น เชื่อว่าไม่น่าจะจบได้ภายในสิ้นปีนี้ หากรีฯ ยังไม่ยอมจ่ายค่าสินไหมครบ อย่างกรณีที่มีรีฯ บางรายถอนตัวออกไปนั้น บริษัทประกันภัยก็ต้องไปไล่บี้มา เพื่อให้เขาจ่ายค่าสินไหมให้ได้ ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่ของบริษัทประกันภัย

นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า บริษัทประกันภัยได้จ่ายค่าสินไหมน้ำท่วมให้กับลูกค้าทั่วไป ลูกค้าเอสเอ็มอี ไปแล้ว 98-99% ส่วนที่ยังค้างจ่ายเป็นลูกค้ารายใหญ่ เนื่องจากต้องมีการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียด โดยต้องใช้เทคโนโลยีในการเข้าตรวจสอบ ดังนั้นการจ่ายค่าสินไหมที่ล่าช้านั้น ไม่ได้เกิดจากความล่าช้าของบริษัทประกันภัยอย่างเดียว แต่เกิดจากความไม่พร้อมด้านเอกสารของลูกค้าด้วย แต่ก็เชื่อว่าการเคลมค่าสินไหมน้ำท่วม จะสามารถเสร็จได้ภายในสิ้นปี2556 นี้ ซึ่งมูลค่าสินไหมที่ยังค้างจ่ายอยู่นั้นคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1 แสนล้านบาท จากวงเงินความเสียหายทั้งหมด 4.8 แสนล้านบาท

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ