ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2555 ว่า เริ่มขายกรมธรรม์ประกันภัยตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม-26 ตุลาคม 2555 สำหรับทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ที่เริ่มจำหน่ายวันที่ 27 สิงหาคม-26 พฤศจิกายน 2555 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 3 เดือน ซึ่งผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 26 ตุลาคม 2555 หลังสิ้นสุดการจำหน่ายในทุกภาคยกเว้นภาคใต้ พบว่ามีเกษตรกรผู้ทำประกันภัยจำนวน 45,312 ราย จำนวนพื้นที่เกษตรกรเอาประกันภัย 865,634 ไร่ และมีค่าเบี้ยประกันภัยรวม 111.6 ล้านบาท ส่วนการรับค่าสินไหมทดแทน ปรากฏว่ามีเกษตรกรขอรับค่าสินไหมทดแทน 15 ราย จำนวนพื้นที่ที่เกษตรกรเอาประกันภัยที่ได้รับความเสียหาย 318 ไร่ คิดเป็นเงิน 350,000 บาท (ข้อมูล ณ วันที่ 2 พ.ย.55)

กล่าวว่า โครงการประกันภัยข้าวนาปีเป็นโครงการที่ดี มีประสิทธิภาพและช่วยลดความเสี่ยงภัยให้แก่เกษตรกร ซึ่งเกษตรกรจะได้รับความคุ้มครอง โดยได้รับค่าชดเชยความเสียหายจากกรณีประสบภัยพิบัติตามเงื่อนไข ซึ่งโครงการนี้จะเป็นการสร้างรากฐานกลไกการประกันภัยพืชผล ให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว

ข่าวจากสมาคมประกันวินาศภัย กล่าวว่า เมื่อสิ้นสุดการขายโครงการประกันภัยข้าวนาปีในปีนี้ คงจะมีนาข้าวทำประกันภัยประมาณ 1 ล้านไร่เศษ ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ต่ำกว่าเป้าหมาย 4 ล้านไร่ที่รัฐบาลตั้งไว้ในตอนแรก ลดลงจากเดิม 8 ล้านไร่ สาเหตุที่จำนวนนาข้าวทำประกันภัยไม่มาก เพราะกว่าจะเริ่มขายล่าช้ามาก ทั้งกระบวนการเจรจากับรัฐบาล ทั้งในเรื่องค่าเบี้ยประกันภัย และเงื่อนไขความคุ้มครอง ที่กว่าจะได้ข้อสรุปใช้เวลานาน

ต่อข้อถามที่ว่าจะมีผลต่อการดำเนินการโครงการในปี 2556 หรือไม่ ขึ้นอยู่กับปีนี้มีความเสียหายมากน้อยแค่ไหน รวมถึงวิธีการขายที่ไปโยงอยู่กับนโยบายของรัฐบาล เรื่องการอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้กับเกษตรกร 50% ซึ่งรัฐบาลจัดสรรเป็นงบประมาณมาให้ปีต่อปี อย่างปี 2555 อนุมัติมาให้ก้อนหนึ่งเพื่อใช้เฉพาะปีนี้เท่านั้น ไม่ได้เป็นงบประมาณระยะยาว 3-4 ปี ดังนั้นเมื่อถึงปีหน้าทางกระทรวงการคลัง ต้องเสนอของบประมาณก้อนใหม่ ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) และประสานกับบริษัทที่รับประกันภัย

“แนวโน้มความเสียหายปีนี้ยังบอกไม่ได้จะมากหรือน้อย อย่างใน 865,634 ไร่ที่ทำประกันภัยอยู่ในตอนนี้ ต้องไปดูว่าอยู่จังหวัดไหนบ้าง สัดส่วนมีมากน้อยแค่ไหน ปีนี้น้ำท่วมไม่เยอะ แต่มีเรื่องภัยแล้งน่าจะมีโอกาสสร้างความเสียหายมากกว่า ส่วนน้ำท่วมอาจจะมีที่ภาคใต้ กำลังเป็นช่วงฤดูมรสุม แต่นาข้าวที่ใต้ก็ไม่เยอะ ส่วนที่ว่าทำไมภาคใต้เริ่มขายช้ากว่าที่อื่น เพราะเกษตรกรปลูกข้าวนาปีช้ากว่าภาคอื่น”

สำหรับโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2555 เป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยปีที่ผ่านมาคุ้มครองเฉพาะภัยธรรมชาติทั้งหมด 6 ภัย ได้แก่ อุทกภัย ฝนทิ้งช่วง ลมพายุ อากาศหนาว ลูกเห็บ และอัคคีภัย ซึ่งเกษตรกรจะได้รับความคุ้มครอง 1,111 บาทต่อไร่ แต่ในปีนี้เกษตรกรจะได้รับความคุ้มครองเพิ่มขึ้น จากภัยศัตรูพืชและโรคระบาด วงเงินความคุ้มครอง 555 บาทต่อไร่ ขณะที่อัตราค่าเบี้ยประกันภัยยังคงเท่าเดิมคือ 120 บาทต่อไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยเกษตรกรจะจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยสุทธิเพียง 60 บาทต่อไร่ ที่เหลือรัฐบาลเป็นผู้อุดหนุน

ทั้งนี้ การดำเนินการโครงการในปีนี้ ดำเนินการโดยกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ ร่วมกับบริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บริหารโครงการ เป็นตัวกลางระหว่างเกษตรกรผู้เอาประกันภัย และบริษัทผู้รับประกันภัยในปีการผลิต 2554 เกษตรกรทั่วประเทศจ่ายค่าเบี้ยประกันภัย 136.6 ล้านบาท และได้รับค่าสินไหมทดแทนรวม 754.6 ล้านบาท

ที่มา : สยามธุรกิจ