การแข่งขันของธุรกิจประกันภัยในพื้นที่ต่างจังหวัดทวีความเข้มข้นดุเดือดไม่แพ้กรุงเทพฯ หรืออาจจะมากกว่า เห็นได้ชัดจากการเปิดสาขาขึ้นในพื้นที่ต่างๆ ที่เป็นย่านเศรษฐกิจการค้า แหล่งความเจริญในภูมิภาค เพื่อให้บริการลูกค้าชิงความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง การมุ่งไปต่างจังหวัดทั้งหนีตลาดเมืองกรุงแข่งดุ และรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ในปี 2558

อย่างล่าสุดค่ายใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด(มหาชน) เพิ่งเปิดสาขาใหม่ขึ้นที่หัวหิน โดยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กล่าวว่า นโยบายการขยายสาขาเป็นไปตามการเติบโตของเศรษฐกิจและปัจจัยแวดล้อมได้แก่
1. ผลงานของสาขาในปีที่ผ่านมาขยายตัวสูงแม้จะประสบกับภาวะน้ำท่วม
2. รองรับการเติบโตของช่องทางขายผ่านธนาคารกรุงเทพหรือแบงก์แอสชัวรันส์ ซึ่งเติบโตสูงมาก ขณะที่ธนาคารมีสาขาทั่วประเทศ ดังนั้นบริษัทจำเป็นต้องเปิดสาขาเพื่อสามารถให้บริการได้ และ
3. รองรับเส้นทางคมนาคมการเชื่อมโยงธุรกิจลอจิสติกส์จากเออีซี

“จากปัจจัยที่ว่าเราได้ทบทวนนโยบายการขยายสาขาใหม่รุกมากขึ้น การเปิดสาขาเพื่อรองรับตลาดรายย่อยที่เราขยายมากในช่วงหลัง อย่างแบงก์แอสชัวรันส์เกือบ 100% เป็นรายย่อย ตอนนี้เรามีสาขาเต็มรูปแบบอยู่ 24 แห่ง และจุดบริการ BKI Care Station ที่เปิดขึ้นในห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด 26 แห่ง”

สำหรับในปีนี้ บริษัทฯ มีแผนจะเปิดสาขาใหม่ 4 แห่ง คือ หัวหิน ตรัง พระนครศรีอยุธยา และมุกดาหาร เปิดไปแล้ว 2 แห่ง คือที่ตรังและหัวหิน ส่วนอีก 2 แห่งคงต้องเลื่อนไปเป็นปีหน้า เพราะติดขัดในเรื่องการเตรียมความพร้อมต่างๆ รวมถึง 3 สาขาใหม่ที่อยู่ในแผนการ คือ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และกาญจนบุรี ขณะเดียวกันจะเพิ่มจุดบริการ BKI Care Station ด้วย

กล่าวว่า ณ 9 เดือนปีนี้ ทั้ง 24 สาขาทำเบี้ยประกันภัยได้ประมาณ 18% ของเบี้ยรับรวม เพิ่มขึ้นจาก 16% เมื่อปีที่ผ่านมา ที่เหลือเป็นผลงานของสำนักงานใหญ่ นโยบายของบริษัทภายใน 3 ปีนับจากปี 2555 นี้ สาขาจะมีเบี้ยประกันภัยเพิ่มเป็น 20% มาจากสาขาทุกแห่งขยายงานมากขึ้น และการขยายตัวของช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ รวมถึงกระแสเออีซี โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับรวม 12,000 ล้านบาท หรือเติบโต 9%

ด้านบริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) กรรมการผู้อำนวยการ กล่าวว่า ปีนี้บริษัทเพิ่งเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 4 สาขาคือ พิษณุโลก จันทบุรี อุดรธานี และโคราช เท่ากับปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 15 สาขา ยังไม่เพียงพอกับเขตการพัฒนาของธุรกิจ ที่ขยายจากเมืองหลวงไปยังเมืองใหญ่ๆ ในภูมิภาคมากขึ้น ตามนโยบายของบริษัทต้องมีสาขาให้บริการไม่ต่ำกว่า 20 สาขา ซึ่งในปี 2556 จะเปิดเพิ่มอีก 4 สาขาในภาคเหนือ ใต้ และตะวันตก ซึ่งยังไม่มีสาขาของบริษัทเปิดให้บริการอยู่เลย

สาเหตุที่ขยายสาขาไปยังต่างจังหวัดเนื่องจาก
1. การแข่งขันในต่างจังหวัดน้อยกว่ากรุงเทพฯ มีโอกาสเจาะตลาดได้มากกว่า
2. รองรับงานของตัวแทนซึ่งส่วนใหญ่อยู่ต่างจังหวัด การบุกตัวแทนทำให้ขยายตลาดรายย่อยได้ดีกว่า และ
3. กิจการสาขามีกำไรหากทำดีๆ แต่ละสาขาจะมีจุดคุ้มทุน คือ ต้องมีเบี้ยประกันภัยปีละไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาทถึงจะอยู่ได้ เพราะมีค่าใช้จ่ายประจำ ทั้งเงินเดือนพนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ โดยเฉพาะเงินเดือนเป็นตัวแปรสำคัญ เพราะในค่าใช้จ่ายของธุรกิจต่างๆ ประมาณ 50% เป็นเงินเดือน ซึ่งสาขาที่จะทำเบี้ยประกันภัยได้ระดับนี้ ต้องเปิดมาไม่ต่ำกว่า 3-5 ปี และสาขาส่วนใหญ่ของบริษัทถึงจุดคุ้มทุนแล้ว

“เรามองเรื่องการพึ่งพาตัวเองแต่ละสาขาเหมือนเป็นบริษัทย่อย ตอนนี้สาขาที่มีอยู่ทั้งหมด ทำเบี้ยประกันภัยรวมกันได้ประมาณ 20% ของเบี้ยประกันภัยรับรวม อีก 80% เป็นผลงานของสำนักงานใหญ่ จากช่วงปีแรกๆ เป็นผลงานของสำนักงานใหญ่ทั้ง 100% สาขาที่ทำเบี้ยประกันภัยได้สูงสุด คือ ภาคใต้คิดเป็นสัดส่วน 30% ตามเป้าหมายอีก 5 ปีข้างหน้า เบี้ยประกันภัยจากสาขาจะมีสัดส่วนเพิ่มเป็น 30% และ 50% ในอีก 10 ปี เมื่อถึงตอนนั้นจำนวนสาขาจะเพิ่มเป็น 30 สาขา”

ประธานบริหารสูงสุด บริษัท แอลเอ็มจี ประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2556 มีแผนเปิดสาขาเพิ่มอีก 2 แห่ง ในภาคเหนือและอีสาน ดูจุดยุทธศาสตร์ที่จะรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เป็นจุดเชื่อมโยงด้านลอจิสติกส์ด้วย จากปัจจุบันที่มีอยู่แล้วทั่วประเทศ 35 แห่ง 9 เดือน ประกันภัยมีสาขา 1,790 แห่ง

สำหรับสาขาของบริษัทประกันภัยที่เปิดให้บริการอยู่ในขณะนี้ ตามข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ณ 30 กันยายน 2555 ทั้งประเทศ มีจำนวนทั้งสิ้น 1,790 สาขา แบ่งเป็นสาขาของบริษัทประกันชีวิต 876 สาขาจาก 25 บริษัท และสาขาของบริษัทประกันวินาศภัย 914 สาขาจาก 42 บริษัท

ที่มา : สยามธุรกิจ