ข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวถึงความคืบหน้าประกาศลงทุนฉบับใหม่ ว่าด้วยเรื่องการลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันภัย ที่ทางคปภ. กำลังปรับปรุงอยู่ว่า ทางคปภ. จะนำเสนอต่อคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (บอร์ดคปภ.) เพื่อเห็นชอบในหลักการในการประชุมประจำเดือนของบอร์ดฯ ที่จะมีขึ้นประมาณปลายเดือนตุลาคมนี้

หากบอร์ดเห็นชอบ จะเข้าสู่ขั้นตอนการร่างสาระสำคัญ ซึ่งจะลงลึกรายละเอียดการลงทุนแต่ละประเภท อาทิ ตราสารหนี้ สามารถลงทุนได้เท่าไหร่ และอย่างไร เป็นต้น หลังจากนั้นจะเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากบริษัทประกันภัยอีกครั้ง ก่อนนำเสนอบอร์ดฯ พิจารณาออกเป็นประกาศคปภ. เพื่อใช้บังคับต่อไป

“ท่านเลขาธิการคปภ. ให้นโยบายชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นกฎระเบียบใดๆ ที่ออกแล้ว กระทบกับธุรกิจในทางปฏิบัติ จะต้องพูดคุยกันจนกว่าจะได้ข้อยุติ”

สำหรับประกาศลงทุนฉบับใหม่ เป็นการปรับปรุงกรอบการลงทุนครั้งใหญ่ ทั้งประกันชีวิตและประกันวินาศภัย เพื่อให้สอดรับกับเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (RBC) สภาพเศรษฐกิจ รวมถึงการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ในปี 2558 นี้ โดยกรอบใหม่แตกต่างจากเดิม เนื่องจากคปภ. ปลดล็อกหลักเกณฑ์ต่างๆ เพื่อให้บริษัทประกันภัยบริหารการลงทุนได้อิสระมากขึ้น เช่น ถ้าเป็นการลงทุนทั่วไป เช่น หุ้น หุ้นกู้ ตั๋วเงิน จากเดิมไม่อนุญาตให้ลงทุนเกินจากเปอร์เซ็นต์ที่กำหนด แต่กฎใหม่อนุญาตให้ลงทุนเกินได้ แต่ต้องมีเงินกองทุนมารองรับให้เพียงพอตามกฎ RBC ต้องมีนโยบาย การลงทุนที่ชัดเจนต้องมีผู้จัดการลงทุนที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่คปภ. กำหนด มีนโยบายบริหารความเสี่ยง ความพร้อมของระบบงานและบุคลากร บริษัทไหนมีฐานะมั่นคง มีเงินกองทุนมาก ลงทุนได้มาก

อนุญาตให้บริษัทประกันภัยลงทุนในต่างประเทศได้มากขึ้น จากปัจจุบันให้ลงทุนได้ไม่เกิน 8.5% ของสินทรัพย์รวม อาจจะเพิ่มเป็นไม่เกิน 10% ของสินทรัพย์รวมทั้งประกันชีวิตและประกันวินาศภัย เพื่อกระจายความเสี่ยง เปิดโอกาสให้บริษัทประกันภัยหาผลตอบแทนได้มากขึ้น ซึ่งการลงทุนต่างประเทศยังต้องขออนุญาตจากนายทะเบียนเหมือนเดิม

ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ประเภทเงินให้กู้ยืม และการให้กู้ยืมแบบให้เช่าซื้อรถยนต์ (ลีสซิ่ง) นอกจากไม่ให้เกินสัดส่วนที่กำหนดแล้ว เกณฑ์ใหม่คปภ. จะปรับลดสัดส่วนการลงทุนประเภทนี้ลงด้วย เนื่องจากมีความเสี่ยงไม่สอดคล้องกับการประกอบธุรกิจ เช่น เงินให้กู้ยืม จากเดิมให้บริษัทประกันชีวิตลงทุนได้สูงสุดไม่เกิน 35% ของสินทรัพย์รวม อาจจะลดลงเหลือ 25% ส่วนประกันวินาศภัยจากเดิมไม่เกิน 30% ของสินทรัพย์รวม อาจจะลดลงเหลือ 20% เป็นต้น

คนแห่ซื้อประกันภัย 7 เดือนโต 20% เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า ธุรกิจประกันภัยยังขยายตัวได้ต่อเนื่องในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา มีเบี้ยประกันภัยรวม 311,993 ล้านบาท เติบโต 19.80% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แบ่งเป็นเบี้ยประกันชีวิต 212,443 ล้านบาท เติบโต 17.52% และเบี้ยประกันวินาศภัย 99,550 ล้านบาท เติบโต 24.98 โดยธุรกิจประกันชีวิตมีกรมธรรม์ที่มีผลบังคับทั้งสิ้น 19,531,174 กรมธรรม์ และจำนวนกรมธรรม์ประกันชีวิตรายใหม่ 3,087,354 กรมธรรม์ ขยายตัว 8.39% ส่วนธุรกิจประกันวินาศภัยมีกรมธรรม์ที่มีผลบังคับรวมทั้งสิ้น 44,882,235 และจำนวนกรมธรรม์ประกันวินาศภัยรายใหม่จำนวน 27,903,444 กรมธรรม์ ขยายตัว 11.54

เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า จากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการทำประกันภัย รวมถึงการมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น การประกันชีวิตแบบบำนาญ และกรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองธรรมชาติ ที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ธุรกิจประกันภัยจึงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

ด้านฐานะการเงิน ณ 7 เดือน ธุรกิจประกันภัยมีสินทรัพย์รวม 2,317,643 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.94 เป็นสินทรัพย์ของธุรกิจประกันชีวิต 1,620,747 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.10% และสินทรัพย์ของธุรกิจประกันวินาศภัย 696,896 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 253.45% ซึ่งธุรกิจประกันภัยได้นำสินทรัพย์ไปลงทุนทั้งสิ้น 1,728,101 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.22 คิดเป็นสัดส่วน 74.56% ของสินทรัพย์รวม

ที่มา : สยามธุรกิจ