ประธานบริหารสูงสุด บริษัท แอลเอ็มจี ประกันภัย จำกัด เปิดเผยถึงกลยุทธ์การทำตลาด โดยระบุว่าจะไม่มุ่งเน้นในเรื่องของการตัดราคา แต่จะเน้นที่การให้บริการ และสินค้าที่ตรงต่อความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก โดยครึ่งปีหลังยังเน้นการลดต้นทุนการบริหาร ซึ่งล่าสุดได้มีการเปิดให้บริการด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย เพื่อเป็นผู้นำในด้านการบริการสินไหมด้วยการนำอุปกรณ์ไอที (Tablet PC) มาใช้ในการอำนวยความสะดวก โดยคาดว่าจะสามารถลดต้นทุนการบริหารในด้านนี้ได้ถึง 2% ต่อปี หรือปีละ 90 ล้านบาท

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าช่องทางการขายสำคัญ ที่ทำให้บริษัทประกันภัย หรือประกันชีวิตในไทย ให้สามารถเติบโตได้นั้นมีอยู่ไม่กี่ช่องทาง โดยเฉพาะช่องทางธนาคาร หรือแบงก์แอสชัวรันซ์ แต่ส่วนตัวของแอลเอ็มจีเอง ช่องทางแบงก์อาจเป็นช่องทางที่ลำบากและมีต้นทุนสูง ซึ่งบริษัทได้มองเห็นช่องทางอื่นที่มีศักยภาพ โดยได้ขยายช่องทางเทเลมาร์เก็ตติ้ง พร้อมเพิ่มทีมงานรองรับอีก 100 คน เพื่อทำการเสนอขายกรมธรรม์อุบัติเหตุ (PA) กับลูกค้าทางโทรศัพท์ ที่เป็นลูกค้าบัตรเครดิตอิออน (AEON) เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ระดับกลางถึงล่าง หลังมีแนวโน้มที่หันมาสนใจประกัน4ypอุบัติเหตุมากขึ้น รวมถึงเพิ่มตัวแทนอีก 200-300 คนต่อปี ซึ่งเมื่อใกล้การเปิดเออีซีแล้ว จะมีพนักรองรับเกือบ 4,000 คน จากปัจจุบันบริษัทมีตัวแทนเกือบ 3,000 คน

อย่างไรก็ตาม สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจถึงสิ้นปีนี้นั้น คาดว่าจะมีเบี้ยประกันภัยรับเพียง 5,000 ล้านบาทเท่านั้น เพิ่มขึ้นจากปี 2554 ที่ทำได้ 4,800 ล้านบาท โดยปีนี้และปีหน้าจะมุ่งเน้นเรื่องการสร้างผลกำไรเป็นหลัก เพราะตลาดการแข่งขันในปีนี้ไม่เอื้ออำนวยต่อการสร้างยอดขายให้เติบโต เนื่องจากตลาดมีการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง ดังนั้นโอกาสขาดทุนจึงมีสูง โดยเฉพาะเบี้ยประกันภัยรถยนต์

ด้านผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอ๊ดวานซ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต จำกัด หรือ เอ ไลฟ์ กล่าวถึงกลยุทธ์การรับประกันชีวิต ในปี 2555-2556 ว่า ยังคงเน้นการเป็นบริษัทประกันชีวิตที่ให้คำปรึกษาทางการเงินอย่างมืออาชีพ เนื่องจากปัจจุบันทิศทางการทำประกันชีวิตเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นอนาคตเรื่องการศึกษา หรืออนาคตในยามเกษียณ สามารถซื้อประกันภัยเพื่อใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งทิศทางดังกล่าวยังเติบโตต่อเนื่องอีกหลายปี

"เมื่อเห็นถึงทิศทางดังกล่าวแล้ว บริษัทกำหนดแผนขายผ่านที่ปรึกษาทางด้านการเงิน ในปัจจุบันบริษัทมี 30 คน ในปีหน้าจะเพิ่มเป็น 100 คน ส่วนการรีครูตในปีหน้า บริษัทได้วางแผนเจาะกลุ่มไปยังนิสิตนักศึกษาที่กำลังจะจบการศึกษา โดยการสัมภาษณ์และมีโปรแกรมเพื่อทดสอบผู้ที่จะเข้ามาร่วมงานกับบริษัท เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะมีศักยภาพในสายอาชีพนี้ว่าสามารถก้าวหน้า ในเรื่องค่าตอบแทนไม่แพ้สายงานอาชีพอื่น"

สำหรับผลประกอบการในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมานั้น บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรับรวม 800 ล้านบาท จากช่องทางการขายผ่านโทรศัพท์ 350 ล้านบาท และการเป็นปรึกษาทางการเงิน 450 ล้านบาท คาดว่าภายในสิ้นปีจะมีเบี้ยรับรวม 1,300 ล้านบาท และในปี 2556 บริษัทตั้งเป้าเบี้ยรับรวม 1,500 ล้านบาท

ขณะที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอไอเอ (ประเทศไทย)ฯ กล่าวถึงความร่วมมือระหว่างเอไอเอ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ถึงการนำนวัตกรรมการชำระเบี้ยประกันชีวิตผ่านเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ผ่านระบบปฏิบัติการบนโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่มีเพียงเอไอเอ และกรุงศรีเป็นเจ้าเดียว โดยคาดว่าเมื่อถึงสิ้นปี จะมีการชำระเบี้ยประกันภัยผ่านระบบนี้ได้ราว 500 ล้านบาท

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ