หลายปีก่อนบริษัทประกันภัยรถยนต์ได้ร่วมลงนาม สัญญาสละสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายซึ่งกันและกัน หรือน็อก ฟอร์ น็อก (Knock for knock) คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินคือตัวรถยนต์ประกันภัยรถยนต์ชั้น1 กล่าวคือ เมื่อรถที่ทำประกันภัยรถยนต์ชั้น1 ไว้ชนกัน บริษัทประกันภัยจะดูแลจ่ายค่าซ่อมให้กับลูกค้าของตัวเอง โดยไม่ต้องรอพิสูจน์ถูกผิด และไม่ไปเรียกร้องค่าเสียหายจากคู่กรณี ซึ่งได้ผลน่าพอใจ

แต่เนื่องจากสัญญาครอบคลุมเฉพาะค่าซ่อมรถเท่านั้น ไม่รวมค่ารักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บ ดังนั้นทางสมาคมประกันวินาศภัยจึงได้ขยายความคุ้มครองมาถึง ค่ารักษาพยาบาลในเอกสารแนบท้ายความคุ้มครองเพิ่มเติม ประกันภัยค่ารักษาพยาบาล (ร.ย.02) ในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจทุกประเภท โดยมีบริษัทประกันภัยลงนามเข้าร่วมสัญญา 42 บริษัท

เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวว่า ภายใต้ข้อตกลงที่เริ่มใช้ทันทีนี้ เมื่อรถยนต์ที่ซื้อประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ และค่ารักษาพยาบาลไว้ เกิดอุบัติเหตุชนกันทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ บริษัทประกันภัยจะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลของลูกค้าตัวเอง ตามวงเงินที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ โดยไม่ต้องรอพิสูจน์ถูกผิด และไม่ไปเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัยที่เป็นคู่กรณี

“การที่บริษัทประกันภัยรถยนต์เข้าร่วมโครงการนี้ เสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้เอาประกันภัย เป็นการพัฒนาบริการให้ดีขึ้นอีกขั้นสำหรับผู้เอาประกันภัย ลดข้อพิพาทที่จะเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการของคปภ. และการพิจารณาคดีความในชั้นศาล ขณะที่บริษัทประกันภัยจะหันมาแข่งขันด้านการให้บริการเพิ่มมากขึ้น”

เลขาธิการคปภ.กล่าวว่า อยากเห็นทุกบริษัทเข้าร่วมโครงการ เพื่อแสดงความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมประกันภัย ในการให้บริการรองรับการเติบโตของธุรกิจประกันภัยรถยนต์ โดยสัญญานี้จะใช้กับประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ที่เป็นรถ 4 ล้อน้ำหนักไม่เกิน 3 ตัน และไม่เกิน 20 ที่นั่ง ในอนาคตจะขยายไปยังประกันภัยรถยนต์ประเภทอื่น อาทิ 6 ล้อ เป็นต้น สำหรับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล ที่บริษัทประกันภัยขายกันอยู่ประมาณ 100,000 บาทต่อราย ซึ่งปัจจุบันประกันภัยรถยนต์ชั้น1 มีสัดส่วนประมาณ 70% ของการประกันภัยรถยต์ภาคสมัครใจ

ด้านประธานคณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัย กล่าวว่า ปกติเวลามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น บริษัทประกันภัยรถยนต์จะชดใช้ให้กับผู้เอาประกันภัยไปก่อน แล้วค่อยไปสวมสิทธิ์ไล่เบี้ยจากฝ่ายผิดทีหลัง ซึ่งจะมีกระบวนการเรียกร้องขึ้นโรงขึ้นศาลเข้ามาเกี่ยวข้อง กว่าจะตกลงกันได้เสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย

แต่ข้อตกลงนี้ หากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นและมีผู้บาดเจ็บ บริษัทประกันภัยรถยนต์ที่เข้าร่วมสัญญาจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลของลูกค้าเอง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผิดหรือถูก โดยไม่ไปเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัยรถยนต์คู่กรณี ทำให้ลูกค้าได้รับการชดใช้อย่างรวดเร็ว ลดข้อพิพาทระหว่างบริษัทประกันภัย ลดค่าใช้จ่ายของบริษัท

“หากลูกค้าได้รับความเสียหายวงเงินสูงกว่ากรมธรรม์ ก็สามารถเรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มจากคู่กรณีที่เป็นฝ่ายผิดได้ด้วยตัวเอง โดยสมาคมฯ จะเชิญชวนทุกบริษัทเข้าร่วมมากขึ้น”

ด้านนายกสมาคมประกันวินาศภัย กล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าว ลดค่าใช้จ่ายในการเรียกร้องค่าเสียหายระหว่างบริษัทประกันภัย เพราะต่างคนต่างรับผิดชอบ ไม่ต้องมาเรียกร้องต่อกันจนเป็นข้อพิพาท หรือเป็นคดีความเหมือนในอดีต บางบริษัทอาจจะยุบหน่วยงานด้านนี้ลงได้

“น่าจะลดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 5% เมื่อทุกบริษัททำแบบนี้กันมากขึ้น จะทำให้เบี้ยประกันภัยรถยนต์ลดลง ตั้งแต่เริ่มใช้เมื่อปี 2539 เราไม่เคยปรับเบี้ยประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจขึ้นเลย การที่รถชนกันแล้วต่างแยกย้ายกันไป ตัวที่เซฟได้เยอะคือค่าเสียโอกาส ค่าเสียเวลา ค่าเผาผลาญน้ำมัน ระหว่างที่รถติดอยู่เพราะตกลงกันไม่ได้ ค่าใช้จ่ายส่วนนี้คิดเป็นตัวเงินไม่ได้ ถูกซ่อนอยู่เป็นการเผาผลาญระบบเศรษฐกิจของประเทศ”

นายกสมาคมประกันวินาศภัยกล่าวว่า ความหวังของสมาคมฯ จะขยายสัญญาดังกล่าว ครอบคลุมรถยนต์ทุกประเภท และประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจประเภทอื่น อาทิ 2+ และ 3+ ที่จะให้บริษัทประกันภัยดูแลค่าซ่อมรถลูกค้าตัวเอง โดยไม่ต้องไปเรียกร้องจากคู่กรณี เพื่อรองรับการเติบโตของประกันภัยรถยนต์ประเภทนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ค่ายประกันภัยรถยนต์ขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ ไม่เข้าร่วมโครงการนี้

ข่าวจากสมาคมประกันภัยให้ความเห็นว่า สาเหตุที่บริษัทประกันภัยบางแห่งไม่เข้าร่วมโครงการ เป็นไปได้ที่อาจจะเห็นว่ามีโอกาสขาดทุนสูง เพราะถ้าบริษัทมีการคัดเลือกลูกค้ามีวินัยในการขับขี่ เมื่อเกิดอุบัติเหตุส่วนใหญ่ลูกค้าเป็นฝ่ายถูก แล้วบริษัทต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับลูกค้าเอง โดยไม่สามารถไปเรียกร้องจากคู่กรณีที่เป็นฝ่ายผิดเหมือนที่ผ่านมาได้ เท่ากับบริษัทต้องแบกรับรายจ่ายมาก

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ