เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยถึงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนจากเหตุการณ์น้ำท่วมปีที่ผ่านมา ตามเป้าหมายสิ้นเดือนกรกฎาคม บริษัทประกันภัยต้องจ่ายสินไหมทดแทนลูกค้าที่ได้รับความเสียหายให้ได้ 75% ของยอดรวมทั้งหมดประมาณ 480,000 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้าอุตสาหกรรมนั้นไม่สามารถทำได้ จากที่ดูค่าสินไหมทดแทนหลังสุดที่จ่ายแล้วอยู่ที่ระดับ 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ ทาง คปภ. กำลังหาสาเหตุดูในรายละเอียดอยู่

ทั้งนี้ตัวเลขสินไหมทดแทนถ้านับเป็นจำนวนรายทะลุเป้าไปแล้ว คปภ.แยกเป็น 2 ส่วนคือ ภาคครัวเรือนกับอุตสาหกรรม โดยภาคครัวเรือนจ่ายเกือบ 100% แล้วไม่มีปัญหา ครัวเรือนเป็นส่วนเสียงไม่ดัง เป็นส่วนที่ต้องการการคุ้มครองสิทธิ์จากทางการ ทางการจะเข้าไปดูแลพอไปได้ 100% คปภ. ก็สบายใจ

ส่วนอุตสาหกรรมกลุ่มนี้คือรายใหญ่ ประกอบด้วยผู้รู้ ผู้มีความชำนาญ รู้สิทธิตัวเอง รู้เงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัย พอเป็นผู้รู้ความต้องการในการคุ้มครองสิทธิ์ หรือบทบาทของทางการที่จะเข้าไปช่วยก็น้อยลง กลุ่มนี้มีความรู้จักคุ้นเคยกับบริษัทประกันภัยดี ดังนั้นขั้นตอนต่างๆ ก็ต้องปล่อยให้ดำเนินไปตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัย ถ้านับเป็นจำนวนรายน้อยแต่เพราะเป็นอุตสาหกรรม จำนวนเงินเลยสูงคิดเป็นค่าสินไหมประมาณ 80% ของค่าสินไหมทั้งหมด

เมื่อแยกออกมาเป็นกลุ่มแม้สินไหมที่จ่ายแล้ว จะออกมาต่ำกว่าเป้า 75% ก็จริง แต่เป็นกลุ่มที่เราไม่ห่วงมากเท่าไหร่ เขาช่วยเหลือตัวเองได้ แต่เราไม่ได้วางใจที่ผ่านมาเราไปจัดงานที่พระนครศรีอยุธยาและปทุมธานีหลายรอบ เพราะเป็นจังหวัดที่มีผู้ประสบภัยมากสุด นิคมอุตสาหกรรมท่วมมากที่สุด และเป็นจังหวัดที่อุตสาหกรรมอยู่กันมากที่สุด เราไปพบกับหอการค้า สภาอุตสาหกรรม เพื่อให้มั่นใจสมาชิกของเขาใครมีปัญหาอะไรเราพร้อมช่วยเหลือ

"เราเดินสายไปตามนิคมอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ทั้ง 7 แห่ง ประสานงานกับรองประธานหอการค้า หากสมาชิกของเขาใครมีเรื่องเดือดร้อนติดต่อมาที่เขา ซึ่งจะติดต่อมาที่เราอีกที ก็จัดคนลงไปดู เราไปบริษัทประกันภัยรายใหญ่ 10 รายใหญ่ที่มีเคลมเยอะ ไปดูระดับเคลม ดูการจ่ายติดปัญหาอะไร ไปดูที่บริษัทผู้ประเมินความเสียหาย (แอดจัสเตอร์) ดูคุณภาพรายงานของเขาเป็นอย่างไร ทั้งหมดเป็นมาตรการในเชิงรุกที่เราเข้าไปและจะทำต่อไป"

ได้เข้าไปดูส่วนที่ขาดไปใน 75% ที่ทำให้ไม่ถึงเป้าหมาย มีส่วนไหนที่ยกขึ้นได้ ที่ผ่านมา คปภ.ได้ให้ความมั่นใจทั้งกับผู้เอาประกันภัย ผู้ประเมินความเสียหาย นิคมอุตสาหกรรมพอควร ส่วนที่คงค้างอยู่ทั้งในส่วนผู้เอาประกันภัยคือ นิคมอุตสาหกรรม และส่วนผู้รับประกันภัย มีความคืบหน้าในการเจรจาตกลงต่อรองกันอยู่ มีพัฒนาการปล่อยให้ดำเนินการต่อไป ข้อสำคัญคือ ยังไม่มีผู้ใดได้รับความเดือดร้อน มีอุปสรรคปัญหาแล้วไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ หลังจากนี้คปภ. ยังติดตามใกล้ชิด ต่อไปจะประเมินความคืบหน้าต่อเนื่อง

"การจะเข้าไปเร่งบริษัทประกันภัยให้จ่าย เหมือนการเข้าไปบังคับ เพราะทุกอย่างมีเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัย ทั้งตัวผู้เอาประกันภัยก็รู้เงื่อนไข ผู้รับประกันภัยก็รู้เงื่อนไข ปล่อยให้เป็นไปตามครรลอง ตอนนี้ทั้งผู้เอาประกันภัย และผู้รับประกันภัยมีอะไร จะร้องให้คปภ.ช่วยหรือไม่ ไม่มีทั้งคู่ อาจยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องการความช่วยเหลือจากคปภ."

ต่อข้อถามบริษัทรับประกันภัยต่อ (รีอินชัวเรอส์) มีปัญหาเรื่องการจ่ายสินไหมหรือไม่ กล่าวว่าเป็นเหตุผลที่ตนเดินทางไปสิงคโปร์ ไปร่วมประชุมอุตสาหกรรมประกันภัยต่อต่างประเทศรายใหญ่ ซึ่งทางมิวนิค รี จัดขึ้น ที่เดินทางไปเหมือนกับเอาปรอทไปวัดอุณหภูมิว่าเป็นอย่างไรบ้าง เรื่องเคลมน้ำท่วมไทย มีการคุยกันเรื่องจ่ายไม่จ่ายหรือไม่ ไปเคลียร์ไปคุยให้เข้าใจ เขาก็เข้าใจในความยากลำบากของไทย เข้าใจในสิ่งที่คนของไทยต้องประสบในช่วงน้ำท่วม แต่ก็ต้องว่าไปตามขั้นตอน

"เงื่อนไขคือต้องมีรายงานของผู้ประเมินความเสียหายครบถ้วนสมบูรณ์ เนื่องจากเป็นการประกันภัยรายใหญ่ มีเงื่อนไขของกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ต้องทำให้ครบถ้วนทุกขั้นตอนเป็นสิ่งที่รับฟังได้ ไม่มีการพูดถึงการบริหารผิดพลาด ที่เราไปเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการยกเหตุที่ไม่สมควรขึ้นมา เป็นผลที่ดีไม่มีการยกเหตุที่ไม่สมควรขึ้นมา ล้วนเป็นเหตุที่เป็นไปตามกลไกของมัน คือเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัย แล้วก็ความสมบูรณ์ของเอกสารข้อมูล"

เลขาธิการคปภ. ย้ำว่า เรื่องการจ่ายสินไหมของประกันภัยต่อ ตอบไม่ได้จะอีกนานเท่าไหร่ นานแค่ไหน อยู่ที่ตัวผู้เอาประกันภัย ตราบใดที่ผู้เอาประกันภัยยังพอใจ ให้ขั้นตอนดำเนินไปเป็นสิทธิ์ของเขา เราไปบังคับไม่ได้ เพราะมีข้อทางกฎหมาย เราไปบังคับผู้รับประกันภัยให้จ่ายก็ไม่ได้ มีขั้นตอนของมันอยู่ เขารีไปต่างประเทศด้วย ก็ต้องใช้ขั้นตอนเดียวกัน ใช้เอกสารชุดเดียวกัน ต้องให้เอกสารครบถ้วนมีมาตรฐานอยู่ เพื่อให้ขั้นตอนดำเนินต่อไปได้ ต้องยอมรับในมาตรฐานที่อุตสาหกรรมอยู่

ที่มา : สยามธุรกิจ