กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือเอเอซีพี เปิดเผยว่า จากนี้ไปบริษัทจะหันไปรุกตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น หลังจากผลประกอบการไตรมาสแรกของปีนี้ถือว่าเติบโตสูง ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการอั้นในช่วงน้ำท่วม เห็นได้จากการขยายตัวผ่านช่องทางตัวแทน และจากการที่ประชาชนตื่นตัวมากขึ้น

จุดนี้เองเป็นแรงส่งที่ทำให้บริษัทเริ่มโฟกัสไปที่ตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น สำหรับสินค้าที่บริษัทเน้นเป็นพิเศษ คือ ผลิตภัณฑ์ที่เน้นให้ความคุ้มครอง เช่น กรมธรรม์ออมทรัพย์ระยะสั้น-ระยะยาว เป็นต้น โดยบริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนให้ต่างจังหวัดเป็น 60% กรุงเทพ 40% ภายใน 2 ปี จากที่เมื่อก่อนเน้นพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ เป็นหลัก โดยจัดกลุ่มลูกค้าออกเป็นรายภูมิภาค แต่ละภูมิภาคก็จะนำสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ไปขายตามที่ต้องการ แม้ตลาดต่างจังหวัดจะมีอัตราเบี้ยประกันภัยต่ำกว่าลูกค้าที่อยู่ในกรุงเทพฯ ก็ตาม

ในส่วนของช่องทางตัวแทนยังคงเป็นช่องทางหลัก มีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกเฉพาะไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 563 ล้านบาท เติบโต 15% โดยเฉพาะช่องทางการตลาดขายตรงมีเบี้ยประกันภัยรับปีแรก 250 ล้านบาท เติบโต 10% และยังครองส่วนแบ่งอันดับหนึ่งของช่องทางการตลาดขายตรงมาได้ตลอด ส่งผลให้สิ้นไตรมาสแรกมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 110,000 ล้านบาท เติบโตอยู่ที่ 6% สำหรับไตรมาส 2 ยังเชื่อว่าเติบโตต่อเนื่อง โดยคาดว่า 6 เดือนแรกของปีนี้เบี้ยประกันภัยรับรวมน่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 14% จากช่องทางตัวแทนเป็นกรณีพิเศษ

เพื่อกระตุ้นให้มีผลงานเพิ่ม โดยวางแผนไว้ว่าปีนี้จะเพิ่มตัวแทนที่ทำงานสม่ำเสมอ จาก 3,000 คนเพิ่มเป็น 3,570 คน และเชื่อว่าไตรมาส 1-2 หรือครึ่งปีแรก น่าจะมีผลประกอบการดีที่สุดในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา

เช่นเดียวกับรองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่าธนาคารกสิกรไทย มีพันธมิตรด้านประกันภัย 2 บริษัทหลักๆ คือ บริษัทประกันใน "เมืองไทย" ทั้งเมืองไทยประกันภัยและเมืองไทยประกันชีวิต กล่าวว่า ธนาคารมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนการตลาดไปสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น โดยใช้ผ่านช่องทางขายไปใน 14 จังหวัดสำคัญทุกภูมิภาค เน้นผนึกกำลังภายใน K Group เพื่อให้เข้าถึงทุกพื้นที่ โดยเฉพาะในต่างจังหวัดหรือหัวเมืองใหญ่ๆ รวมถึงการเพิ่มสาขาย่อยขนาดเล็ก ในแต่ละพื้นที่ที่มีห้างสรรพสินค้า หรือห้างค้าปลีกเพิ่มขึ้น เพื่อให้การให้บริการเข้าถึงลุกค้าทุกกลุ่ม

สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ธนาคารมองว่าไตรมาสแรกได้รับความนิยมมากที่สุด คือ แบบประกันภัยสะสมทรัพย์ 1/7,1/10 และ 4/10 คือ จ่ายเบี้ยปีเดียวหรือ 4 ปี แต่ให้ความคุ้มครอง 7 ปี 10 ปี เป็นต้น สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการสินค้าด้านประกันชีวิตเริ่มเปลี่ยนไป

ยังกล่าวถึงทิศทางการเติบโตของธุรกิจไตรมาสแรกว่า โดยธรรมชาติไตรมาส 1 ของทุกปี อัตราการเติบโตของประกันชีวิตจะเติบโตต่ำมาก แต่จะเริ่มเห็นความชัดเจนถึงอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 2-3 ของปีนี้ บริษัทจึงหวังว่าหากไม่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรง หรือแม้แต่ภัยธรรมชาติแล้ว อัตราการเติบโตทั้งปีจะถือว่าสูงมาก ส่งผลให้ทั้งปีตั้งเป้าเบี้ยรับรวมขยายตัวเกิน 40% ถือเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าปี 2554 โดยไตรมาสสุดท้ายที่เกิดปัญหามหาอุทกภัย ทำให้ปี 2554 มีอัตราการขยายตัวเพียง 20 กว่า% เท่านั้น

"ปีนี้ที่ตั้งเป้าโต 40% ก็ถือว่าเยอะ จากปีที่ผ่านมาที่โตแค่ 20% โดยแต่ละพื้นที่การขยายตัวก็คงจะไม่เท่ากัน เพราะต้องดูศักยภาพความต้องการแต่ละผลิตภัณฑ์ร่วมด้วย ซึ่งตอนนี้บริษัทมีผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตไม่ต่ำกว่า 40 ผลิตภัณฑ์ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ ออมทรัพย์ คุ้มครอง และผลิตภัณฑ์ที่เน้นการออมระยะยาว ซึ่งยังมีช่องว่างทางการตลาดที่คนทั่วไปซื้อประกันชีวิตเพียง 20-30% เท่านั้น ซึ่งธนาคารมีฐานลูกค้า 9 ล้านรายแล้ว"

นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมรุกตลาดกลุ่มเวลท์ ที่มีฐานะทางการเงินในระดับสูง หรือที่มีเงินออมเกิน 10 ล้านบาท กลุ่มนี้จะเน้นหาช่องทางการลงทุนผ่านการออมที่ให้ผลตอบแทนสูง จ่ายเยอะแต่จ่ายไม่นาน กลยุทธ์ "วิสดอม ไฮ เน็ทเวิร์ค" หรือการนำผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายพ่วงเข้าไปอยู่ในลักษณะเป็นแพ็กเกจเดียว โดยกลุ่มที่เน้นเป็นพิเศษคือ ผลิตภัณฑ์ประกันภัยผ่านทางช่องทางธนาคาร หรือแบงก์แอสชัวรันซ์ ทิศทางดังกล่าวเริ่มคล้ายกับการทำธุรกิจในต่างประเทศ

อย่างไรก็ตามในปีนี้ธนาคารกสิกรไทยตั้งเป้าเป็นอันดับ 1 ในตลาดการขายประกันภัยผ่านช่องทางธนาคารโดยเฉพาะไตรมาสแรก ธนาคารมีเบี้ยประกันชีวิตรับรวม 7,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 39% และมีเบี้ยประกันภัยรับปีกว่า 3,600 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นถึง 52% ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า เป็นผลจากที่ธนาคารได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยแบบใหม่ ที่ตอบสนองและเหมาะสมกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น ในขณะที่ภาพรวมตลาดแบงก์แอสชัวรันซ์ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2555 มีเบี้ยประกันชีวิตรวมจากทุกช่องทางอยู่ที่ 33,468 ล้านบาท และเป็นเบี้ยประกันรับปีแรก 14,403 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 30% และ 40% ตามลำดับ

สอดรับกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยประกันชีวิต ที่ระบุว่าปีนี้จะเป็นปีที่บริษัทขยายธุรกิจประกันชีวิตไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัดผ่านทางตัวแทนระดับย่อย เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศมากขึ้น จากเดิมที่บริษัทมีตัวแทนประมาณ 50,000 คน เป็นตัวแทนแอกทีฟ หรือมีผลงานสม่ำเสมอประมาณ 20,000 คน ซึ่งบริษัทก็พร้อมที่จะกระตุ้นการทำงานของตัวแทน โดยกำหนดการสร้างผลงานควบคู่ไปกับการสร้างตัวแทนใหม่ ทำให้ไตรมาสแรกตัวแทนเราทำผลงานได้ดี เห็นได้จากผลงานไตรมาสแรกสามารถทำเบี้ยปีแรกได้ 2,836 ล้านบาท เติบโตถึง 54% ซึ่งช่องทางตัวแทนเติบโต 20-30%

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ