โดย ที่มา : สยามธุรกิจ วันที่ 31 มีนาคม 2555 เวลา 00:00 น.

นายกรัฐมนตรี กล่าวในการเป็นประธานในการเปิดตัว “กรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ” และการบันทึกความร่วมมือ (MOU) จำนวน 3 ฉบับ กับ บมจ.ไทยรับประกันภัยต่อ หรือไทยรี และบริษัทประกันวินาศภัยที่เข้าร่วมโครงการทั้ง 53 แห่งทั่วประเทศ เมื่อ 28 มีนาคม 2555 ว่า จากปัญหาวิกฤติน้ำท่วมเมื่อปีที่ผ่านมาทำให้ไทยประสบปัญหา แม้รัฐจะพยายามแก้ปัญหาเร่งด่วนในการบริหารจัดการน้ำ แต่ต้องใช้เวลากว่าจะเป็นรูปธรรม ในขณะเดียวกันต้องพยายามสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชน เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นที่จะขยายการลงทุน

ส่วนในเรื่องของประกันภัยผลกระทบจากน้ำท่วม ทำให้เกิดปัญหาไม่มีใครสามารถรับประกันภัยได้ ขณะที่เบี้ยประกันต่อก็สูงมาก เพราะต่างประเทศเอง บริษัทประกันภัยต่อ หรือรีอินชัวเรอส์ ก็ขาดความมั่นใจ เป็นที่มาของการที่ภาครัฐลงมาทำงานร่วมกับบริษัทประกันภัย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน เพื่อให้เห็นว่ารัฐมีเจตนาแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างจริงจัง ซึ่งระบบประกันภัยมีความจำเป็นมาก เพราะคนก็อยากได้ความมั่นใจ ถ้ารัฐไม่เข้ามาร่วมผ่านการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ ใครจะเป็นผู้เข้ามารับความเสี่ยงตรงนี้ และรัฐก็ไม่ได้มองจำกัดแค่ระบบประกันภัยเท่านั้น ยังดูไปถึงเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ด้วย เพื่อให้ธุรกิจผู้ประกอบการต่างๆ ทำธุรกิจต่อไปได้

“น้ำท่วมที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความกังวลใจ ซึ่งมันไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้น แต่หลายๆ ประเทศก็กังวลปัญหานี้ กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ทั้งนักลงทุน บริษัทประกันภัย รวมถึงรีอินชัวเรอส์เกิดความมั่นใจ หลังจากนี้ราคาเบี้ยประกันภัยจะมีทิศทางลดลง คนก็จะมั่นใจมากขึ้น สะท้อนว่ารัฐเดินมาถูกทางแล้วในการเรียกความมั่นใจคืนกลับมา และรัฐพร้อมเป็นหลักประกันให้บริษัทประกันภัยทุกที่ อย่างการเซ็นต์ MOU ในวันนี้เป็นการร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน บริษัทประกันภัย เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน”

ประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ กล่าวว่า การที่มีกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ ทำให้รีอินชัวเรอส์มั่นใจมากขึ้น ซึ่งขณะนี้เบี้ยประกันภัยปรับลดลงต่อเนื่อง เป็นสัญญาณที่ดี แสดงว่าไทยมีกองทุนตัวนี้และมีการบริหารจัดการน้ำที่ดี จะส่งผลให้เศรษฐกิจดี เชื่อว่าเบี้ยประกันภัยต่อจะลดลงอีก และในไม่ช้าก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เพราะในตลาดขณะนี้เบี้ยประกันภัยก็ลดลงเหลือ 3% จากต้นปีอยู่สูงถึง 8-10%”

ด้านกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทิพยประกันภัย หนึ่งในบริษัทประกันวินาศภัยที่เข้าร่วมโครงการ กล่าวว่า ในเรื่องการขายประกันภัยพิบัติส่วนเกินจากกองทุนฯ ปีนี้บริษัทตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยพิบัติ เฉพาะส่วนเกินนี้ 400 ล้านบาท โดยจะจับลูกค้าทั้ง 3 กลุ่ม คือ บ้านอยู่อาศัย เอสเอ็มอี และอุตสาหกรรมรายใหญ่

อย่างเช่น อุตสาหกรรมรายใหญ่ ทิพยมีฐานลูกค้าเยอะมาก ซึ่งได้แจ้งไปยังลูกค้าเดิมแล้วว่า บริษัทสามารถรับประกันภัยพิบัติได้แล้ว ยินดีรับประกันภัยส่วนที่เกินซับลิมิต 30% ของทุนประกันภัย คือ เพิ่มอีก 20% รวมเป็น 50% ของทุนประกันภัยต่อราย โดยบริษัทซื้อความคุ้มครองภัยธรรมชาติ (Natural Catastrophe : Nat Cat) ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว 2,000 ล้านบาท สามารถรองรับตรงนั้นได้ แต่วงเงินคุ้มครองที่ขยายไปส่วนเกินไป 20% ไม่เกิน 50% ของทุนประกันภัย ยังต้องไปคุยกับรีอินชัวเรอส์ก่อนว่ารับได้หรือไม่อย่างไร รวมถึงเบี้ยประกันภัยส่วนขยายออกไป เพราะยังไม่ได้เคาะว่าเป็นเท่าไร ต้องไปคุยกันรีอินชัวเรอส์ก่อน

“การขายของเขา คือ ส่วนแรกเป็นของรัฐ หรือกองทุนฯ ส่วนที่เกินเป็น ของทิพย แต่เบื้องต้นหยั่งเสียงกับรีอินชัวเรอส์แล้ว เขายินดีสนับสนุนทิพยขยายส่วนคุ้มครองเกินจากรัฐได้ โดยในส่วนของบ้านอยู่อาศัย กองทุนฯ คุ้มครอง 100,000 บาท ของทิพยจะเพิ่มไปเป็นไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อหลัง หรือไม่เกิน 30% ของมูลค่าบ้าน โดย 30% นี้ มาจากการประเมินความเสียหายจากน้ำท่วมที่ผ่านมาจะไม่เกินนี้”

ที่มา : สยามธุรกิจ