ทูเดย์อินชัวร์ จำหน่าย ประกันภัยรถยนต์ ราคาถูก
สำหรับสมาชิก todayinsure.com ระบบงาน TodayInsure C.R.M. หมายเลขใบอนุญาตของ TodayInsure: 5104006215
ขณะนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัตหน้าที่อยู่ โทรหาเรา (02) 952-7322, (086)378-9671 หรือ email: sales@todayinsure.com

คลังข้อมูลข่าวย้อนหลัง

ธุรกิจ-อุตฯ-ประกันภัย อาการหนักปางตาย

รัฐบาลต้องเร่งกระบวนการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการประกันภัย เร่งมาตรการบริหารจัดการน้ำ สร้างเขื่อนป้องกัน

ธุรกิจ-อุตฯ-ประกันภัย อาการหนักปางตาย

มีนาคม
8

โดย โพสต์ทูเดย์ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 00:00 น.

ถึงตอนนี้การจัดตั้ง “กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ” ที่จะคุ้มครองน้ำท่วม แผ่นดินไหวและพายุ วงเงิน 5 หมื่นล้านบาทคุ้มครอง 1 ล้านล้านบาท กำลังฝุ่นตลบกับการกำหนดสารพัดเงื่อนไข เดิมจะคุ้มครองน้ำท่วม 20% หรือสูงสุด 200 ล้านบาท ของวงเงินความคุ้มครองหลัก ก็กำลังขยายเพิ่มเป็น 30% หรือสูงสุดไม่เกิน 1,000 ล้านบาท อัตราเบี้ยประกันภัยคาดว่าจะอยู่ประมาณ 12% ของทุนประกันน้ำท่วม ซึ่งจะสรุปรายละเอียดอีกครั้งในวันที่ 27 ก.พ.นี้

ขณะที่แผนช่วยเหลือด้านการเงินของรัฐบาล ที่จะให้ธนาคารออมสินปล่อยกู้ให้แก่นิคมอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วมในปีที่ผ่านมา 7 แห่งนำไปสร้างเขื่อนก็ทำไม่ได้ รวมถึงเงินให้เปล่าที่คาดว่าจะให้ประมาณ 4,000 ล้านบาท จากที่ประมาณว่าการสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วม7 นิคมอุตสาหกรรมจะใช้เงิน 6,000 ล้านบาทก็ยังไม่มี

มาตรการป้องกันน้ำท่วม บริหารจัดการน้ำ ประกันน้ำท่วม ยังไม่มีอะไรออกมาเป็นรูปธรรม ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือ ประชาชน เจ้าของธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ในประเทศ ก็ยังหาบริษัทประกันภัยมารับความเสี่ยงจากน้ำท่วมไม่ได้ การขอเงินกู้จากสถาบันการเงินเพื่อนำไปฟื้นฟูกิจการก็ทำได้ยาก เพราะสถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากเกรงว่าถ้าเกิดน้ำท่วม ลูกค้าจะไม่สามารถชำระเงินกู้ได้ และมีการเรียกหลักทรัพย์ค้ำประกันเพิ่มเพื่อป้องกันหนี้เสีย เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ต้องใช้กำลังเท่าที่มีอยู่ ทำการปรับโครงสร้างภายในโรงงานใหม่ เช่น การยกเครื่องจักรให้สูงจากพื้นจากระดับน้ำที่เคยท่วม แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะเริ่มกระบวนการผลิตได้

หากรัฐบาลไม่สามารถเข็นมาตรการความช่วยเหลือออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม จะส่งผลกระทบเสียหายต่อธุรกิจโดยรวมของประเทศ เพราะประเทศผู้นำเข้าชิ้นส่วนจากไทย คงต้องตัดสินใจไปสั่งชิ้นส่วนจากประเทศอื่นทดแทน และอาจตัดสินใจย้ายฐานการผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ออกจากประเทศไทย ลำพังให้ภาคเอกชนดิ้นรนด้วยตัวเองให้รอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ก็เป็นไปได้ยากมาก ในปีนี้ เพราะบริษัทประกันต่างประเทศ มีการปรับเงื่อนไขการรับประกันภัยน้ำท่วมในประเทศไทยใหม่ทั้งหมด ที่หนักหนาสาหัสสำหรับผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม ผู้ผลิตในขณะนี้คือ สัญญาประกันภัยต่อ 1 เหตุการณ์ จากเดิมที่จำกัดไว้เหตุการณ์ละ 1,000 ล้านบาท หรือบางพื้นที่ไม่จำกัดวงเงิน กลับลดเหลือเหตุการณ์ละไม่เกิน 500 ล้านบาท และขยายจำนวนวันต่อ 1 เหตุการณ์ เป็น 720 ชั่วโมง หรือ 30 วัน เป็น 1 เหตุการณ์ จากเดิมที่กำหนดไว้ 7 วัน หากเสียหายเกิน 500 ล้านบาท บริษัทประกันภัยในประเทศไทยต้องจ่ายเงินให้กับลูกค้าเอง ลูกค้าที่ถูกน้ำท่วมทรัพย์สินเสียหาย ได้รับการชดใช้แน่นอน ไม่ว่าจะท่วม 5 วัน หรือ 7 วัน หรือมากกว่านั้น แต่ความเสี่ยงจะตกที่บริษัทประกันภัยในประเทศ เพราะจะต้องบริหารให้ดีภายใต้วงเงินที่ได้รับมาจากบริษัทประกันภัยต่างประเทศ เพราะถ้าไม่เข้าเงื่อนไข 30 วัน บริษัทประกันภัยในไทยจะต้องนำเงินในกระเป๋าออกมาจ่ายเอง ถ้าบริหารความเสี่ยงไม่ดีมีสิทธิล้มกันได้ง่ายๆ

สำหรับสัญญาการรับประกันภัยต่อแบบเฉพาะราย ที่มีการจำกัดวงเงินความคุ้มครองน้ำท่วมไว้ประมาณ 10-30% ของวงเงินความคุ้มครองประกันอัคคีภัย เช่น วงเงินความคุ้มครองประกันอัคคีภัย 1 หมื่นล้านบาท จะจ่ายชดเชยน้ำท่วมเพียง 10% หรือ 1,000 ล้านบาทเท่านั้น และลูกค้าจะต้องร่วมรับความเสียหายส่วนแรก 5% หรือ 50 ล้านบาทแรกลูกค้าต้องจ่าย เงื่อนไขที่ออกมาอย่างนี้ทำให้บริษัทประกันภัยไทยต้องระมัดระวังในการรับลูกค้าอย่างมาก และในพื้นที่เสี่ยงที่เคยถูกน้ำท่วมหนักไม่กล้ารับประกันภัย เบี้ยประกันภัยน้ำท่วมทั่วประเทศถูกปรับขึ้นจาก 0.40-0.5% ขึ้นไป เฉลี่ยแล้ววิ่งกันอยู่ประมาณ 10% ของวงเงินความคุ้มครอง

การปรับเงื่อนไขของบริษัทประกันต่างประเทศ เพราะปีที่ผ่านมาไทยสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ที่สุดติดอันดับ 3 ของโลก และบริษัทประกันต่างประเทศส่วนใหญ่จะมาจากยุโรป เช่น จากตลาดลอยด์อังกฤษ สวิสรี มิวนิกรี และจากประเทศญี่ปุ่น จากตลาดประกันภัยต่อสิงคโปร์ ซึ่งยุโรปกำลังเผชิญวิกฤตหนี้สาธารณะสูงกว่ารายได้ รัฐบาลถูกสถาบันจัดอันดับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ทำให้บริษัทเอกชนต่างๆ รวมถึงบริษัทประกันภัยถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ ทรัพย์สินลงทุนด้อยค่า จึงต้องระมัดระวังการรับประกันภัยในประเทศที่เสี่ยงสูง

รัฐบาลจะต้องเร่งกระบวนการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการประกันภัย ให้สั้นลงและเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด รวมถึงเร่งมาตรการบริหารจัดการน้ำ สร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมออกมาให้เป็นรูปธรรม เพื่ออย่างน้อยจะได้มีความคุ้มครองขั้นต่ำเข้ามาช่วยเหลือประชาชน ผู้ประกอบการให้มีเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง สถาบันการเงินกล้าปล่อยกู้ และเพิ่มอำนาจต่อรองเจรจาความคุ้มครอง กับบริษัทประกันภัยต่างประเทศให้ได้มากที่สุด ลดความเสียหายของประเทศก่อนที่ฤดูฝนจะกระหน่ำลงมาก่อน

ที่มา : โพสต์ทูเดย์