โดย สยามธุรกิจ วันที่ 29 ตุลาคม 2554 เวลา 00:00 น.
แม้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) รวมถึงสมาคมประกันภัยจะยืนยันว่า ความเสียหายของธุรกิจประกันภัยเนื่องจากน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ ไม่กระทบต่อฐานะการเงินบริษัทประกันภัย เพราะเคสใหญ่สุดคือนิคมอุตสาหกรรม 7 แห่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและปทุมธานีที่ถูกน้ำท่วมไปแล้ว มีทุนประกันภัยทรัพย์สินรวมกันถึง 456,783 ล้านบาท
ซึ่งคปภ.ประมาณการมูลค่าความเสียหายรวม 140,000 ล้านบาท (ณ วันที่ 26 ตุลาคม 2554) เนื่องจากประกันต่อไปยังบริษัทรับประกันภัยต่อ (รีอินชัวเรอส์) ในต่างประเทศถึง 85-90% ซึ่งความเสียหายนี้ยังไม่รวมอีก 5 นิคมฯ ที่อยู่ในโซนตะวันออกซึ่งยังไม่ท่วม รวมไปถึงรถยนต์และบ้านที่จมน้ำจำนวนมาก แม้บ้านส่วนใหญ่จะไม่ได้ทำประกันภัยน้ำท่วมไว้ ตลอดไปถึงความเสียหายต่อชีวิตและร่างกายผู้เอาประกันภัย
แต่ความเสียหายจากน้ำท่วมครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อการทำประกันภัยคุ้มครองภัยธรรมชาติแล้ว โดยเฉพาะน้ำท่วมไม่สามารถหาซื้อได้ในขณะนี้เพราะความเสี่ยงมีมากขึ้น รีอินชัวเรอส์ในต่างประเทศไม่อยากรับ ขณะที่กำลังความสามารถ (Capacity) ของธุรกิจประกันวินาศภัยในการรับประกันภัยน้ำท่วมลดลงไปมาก
โดยล่าสุดทางบริษัทรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) หรือไทยรี บริษัทรับประกันภัยต่อแห่งเดียวของประเทศไทย ได้ออกหนังสือลงวันที่ 17 ตุลาคม 2554 แจ้งไปยังผู้บริหารบริษัทประกันภัยทุกแห่ง เกี่ยวกับการต่ออายุการรับประกันภัยต่อแบบเฉพาะราย (facultative reinsurance) ระบุว่า เนื่องด้วยสถานการณ์มหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมการประกันภัย โดยเฉพาะการประกันภัยทรัพย์สิน
บริษัทได้พิจารณาแล้วเห็นว่า มีความจำเป็นต้องปรับนโยบายการพิจารณารับประกันภัย โดยเฉพาะภัยน้ำท่วมอย่างเร่งด่วน โดยบริษัทขอยกเลิกการต่ออายุประกันภัยทรัพย์สิน ที่เป็นการประกันภัยต่อแบบเฉพาะราย ที่ให้ความคุ้มครองภัยน้ำท่วมทั้งหมด เช่น ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (IAR) ประกันอัคคีภัยที่คุ้มครองน้ำท่วม ประกันภัยเครื่องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (EEI) ประกันภัยเครื่องจักร ก่อสร้าง (CPM) และประกันภัยเงิน เป็นต้น ทั้งนี้สำหรับกรมธรรม์ที่มีวันเริ่มคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2554 เป็นต้นไป
แหล่งข่าวจากวงการประกันภัยให้ความเห็นว่า ภาพรวมสถานการณ์น้ำท่วมส่งผลกระทบต่อธุรกิจประกันภัยหลายส่วน
1. กำลังความสามารถในการรับเสี่ยงภัยในประเทศ (Own Capacity) ยุบตัวลง เนื่องจากค่าสินไหมทดแทนจำนวนมาก จากทั้งประกันภัยทรัพย์สินต่างๆ รถยนต์ ชีวิตและร่างกาย ที่บริษัทประกันภัยในประเทศเก็บความเสี่ยงภัยไว้เอง (Retention)
2. สัญญาประกันภัยต่อเนื่อง จากแต่ละเหตุการณ์รีอินชัวเรอส์รับผิดชอบค่อนข้างสูงหลายเท่า อาจจะเป็น 20-30 เท่าจากที่บริษัทประกันภัยของไทยรับไว้เอง โดยจะนำความเสี่ยงไปกระจายต่ออีกที ในแง่รีอินชัวเรอส์ถือว่าขาดทุน
“ปีนี้รีอินชัวเรอส์เจอมหันตภัยใหญ่ๆ เยอะมาก ทั้งแผ่นดินไหวที่ไครสต์เชิร์ช ที่ญี่ปุ่น น้ำท่วมออสเตรเลีย แล้วยังมาเจอที่เมืองไทยอีกในรอบ 10 เดือนบ้านเราเจอ น้ำท่วมใหญ่มา 4 ครั้งแล้ว รีอินชัวเรอส์ที่รับประกันเป็นเจ้าเดียวกัน กระเป๋าเดียวกัน เมื่อจ่ายเคลมต้องมีการตั้งสำรองเขาไม่ใช่มูลนิธิ บางเจ้าอาจจะถอนตัวจากบ้านเรา หลักการของความเสี่ยงภัย การซื้อประกันภัยจะซื้อต่อเมื่อภัยนั้นไม่แน่นอน แต่กรณีของภัยน้ำท่วมในตอนนี้ ถือว่าเป็นภัยแน่นอน (Known Loss) หากมีคนมาขอซื้อประกันภัย จะไม่ขายให้เพราะผิดหลักการทำประกันภัย หมิ่นเหม่ต่อความสุจริตใจ พูดได้ว่าการซื้อประกันภัยธรรมชาติตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าเก่าหรือใหม่ ได้รับผลกระทบหมด หาซื้อไม่ได้ในตลาดขาดแคลน”
ที่มา : สยามธุรกิจ