โดย สยามธุรกิจ วันที่ 13 กรกฎาคม 2554 เวลา 00:00 น.

กฎลงทุนตัวใหม่ที่ คปภ.เพิ่งบังคับใช้ไป ต้องมานั่งดูมีผลกระทบกับแต่ละบริษัทอย่างไร รุนแรงแค่ไหน เพราะได้รับข้อเสนอจากสมาชิกบางบริษัทมีผลกระทบแต่ยังไม่รู้แค่ไหน บริษัทประกันวินาศภัยเตรียมค้านประกาศ คปภ. ฉบับใหม่เรื่องการลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันภัย ที่เพิ่งบังคับใช้ไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นฉบับที่ 2 ที่คปภ.ออกมาเพื่อให้สอดรับกับเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (Risk Based Capital : RBC) และสภาวะตลาดทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงไป โดยได้มีการแก้ไขหลักเกณฑ์การลงทุนหลายเรื่อง โดยเฉพาะการกำหนดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงห้ามเกิน 40% ของสินทรัพย์ลงทุนทั้งหมด ที่สำคัญบริษัทที่จะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้ ต้องมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมายไม่ต่ำกว่า 300% กระทบต่อการลงทุนของธุรกิจ โดยประกันวินาศภัยลงทุนในหุ้นที่จัดเป็นสินทรัพย์เสี่ยงมากกว่าประกันชีวิต

สำหรับข้อเสนอจากสมาชิกที่ว่าจะมีผลกระทบ ต่อการลงทุนและสมาคมอาจจะขอแก้ไขคือ ลักษณะความยืดหยุ่นของกฎที่ออกมาไม่ยืดหยุ่นเท่าที่ควร ความชัดเจนของคำจำกัดความของสินทรัพย์เสี่ยง เพราะในอนาคตเครื่องมือทางการเงินเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ขณะที่ประกาศหยุดนิ่งอยู่กับที่เพื่อความสะดวกควรจะทำเผื่อไว้เลย สมมติสมาคมหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม จะออกกองทุนรวมให้เสนอไปที่คปภ. ก่อนให้คปภ.ออกประกาศมีความเสี่ยงหรือไม่ ถ้าเสี่ยงบริษัทประกันภัยจะได้ไม่ลงทุน

ความเห็นเพิ่มเติมว่า ทางสมาคมฯ กำลังดูว่ากฎลงทุนใหม่ ทำให้โครงสร้างลงทุนของบริษัทประกันวินาศภัยเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน โดยตัวที่จะกระทบมากที่สุดคือ การห้ามบริษัทที่มีกองทุนไม่ถึง 300% ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น เพราะแม้กฎลงทุนใหม่จะระบุว่าเมื่อประกาศคปภ. กำหนดประเภทและชนิดของเงินกองทุน รวมถึงหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในการคำนวณเงินกองทุน มีผลบังคับใช้ซึ่งตามกำหนดของคปภ.คือวันที่ 1 กันยายนนี้ อัตราส่วนเงินกองทุนข้างต้นจะปรับลดลงมาเป็นไม่ต่ำกว่า 150% ก็ตาม

“ปัญหาคือกฎลงทุนตัวใหม่มีผลบังคับใช้ไปแล้ว เท่ากับบริษัทที่ซื้อหุ้นไปก่อนหน้านี้และเงินกองทุนไม่ถึง 300% ทำผิดกฎหมายจะทำอย่างไร หากถูกบังคับต้องขายออกมาให้เป็นไปตามกฎใหม่ ถ้าเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นตกจะเกิดผลขาดทุนทางบัญชีจริงๆ ต้องให้เวลาบริษัทปรับพอร์ตลงทุน อย่างการลงทุนในหุ้นกู้หรือในตลาดหลักทรัพย์ฯ ถ้าเป็นบริษัทที่ใหญ่มากการเปลี่ยนแปลงเงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ทันที มีผลต่อเงินปันผล ราคาหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ ถ้าตัดขายระหว่างทางในช่วงที่หุ้นตก ทำให้ขาดทุนทางบัญชีระยะยาวหรือทำให้เป้าหมายผลตอบแทนผิดเพี้ยนไป”

การกำหนดเงินกองทุนขั้นต่ำ 300% บริษัทสมาชิกพูดถึงกันมากในเชิงที่ว่าสูงเกินไปบริษัทขนาดใหญ่บางแห่งไม่ถึง 300% ใช้เกณฑ์ที่ 200% น่าจะเพียงพอแล้วเพราะภายใต้กฎ RBC ล็อกไว้อีกชั้นหนึ่งอยู่แล้วใครลงทุนในหุ้นต้องถูกชาร์จเงินกองทุนเพิ่มอีก 16% ซึ่ง ถ้าหากไม่ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงก็ไม่มีโอกาสได้ผลตอบแทนดีมาก บริษัทขนาดเล็กใช้ช่องทางการลงทุนในหุ้นหาผลตอบแทนที่สูง ยิ่งกว่านั้นกฎใหม่นี้ยังกระทบกับบริษัทประกันวินาศภัย ที่เตรียมจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นเพื่อเสนอขายหุ้นกับประชาชนครั้งแรก (IPO) ในช่วงนี้ด้วย ต้องเลื่อนแผนออกไปก่อนเพื่อให้เกณฑ์ดังกล่าวนิ่งก่อน เพราะนักลงทุนที่จะเข้ามาซื้อหุ้นบริษัทประกันภัย ส่วนใหญ่เป็นบริษัทประกันภัยด้วยกันเอง เพราะมั่นใจในศักยภาพของกันและกัน ส่วนหนึ่งมีประกันภัยต่อกันอยู่ เมื่อกฎใหม่นี้ออกมาทำให้บริษัท ประกันภัยที่มีเงินกองทุนไม่ถึง 300% ไม่สามารถซื้อหุ้นได้หรือถ้าจะซื้อก็ต้องไประบายหุ้นตัวอื่นออก ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการขาดทุน ต้องปรับโครงสร้างลงทุนใหม่

“ปกติก่อนจะออกกฎอะไรใหม่ๆ คปภ.จะเฮียริ่งกับภาคธุรกิจก่อน แต่คปภ. มีธงไว้อยู่แล้วไม่ว่าเอกชนจะเสนออะไรไป เขายึดธงของเขาที่ผ่านมาเราทำหนังสือเสนอแก้ไขไปหลายเรื่อง โดยดูกฎหมายของต่างประเทศประกอบ แต่ไม่ได้รับการสนองตอบเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งเพราะคปภ.มี KPI ออกกฎหมายให้ได้ตามเป้าหมายอยู่ การลงทุนต้องใช้จังหวะหากยืดหยุ่นเวลาออกไปอีกปีครึ่งหรือ 2 ปีทำให้ธุรกิจมีเวลาปรับตัว ทุกวันนี้ธุรกิจประกันภัยถูกบังคับด้วยกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดมากเท่ากับแบงก์ ถ้าเป็นอย่างนั้นต้องยอมให้ธุรกิจประกันวินาศภัยเป็นสถาบันการเงินด้วย แต่ตอนนี้ยังไม่ยอมรับดูง่ายๆ เวลาไปฝากเงิน ถ้าเป็นบริษัทประกันชีวิตแบงก์บอกเป็นสถาบันการเงินให้ดอกเบี้ย 4% แต่ธุรกิจประกันวินาศภัยบอกไม่ใช่ให้ดอกเบี้ย 3.8%

ที่มา : สยามธุรกิจ