โดย สยามธุรกิจ วันที่ 4 พฤษภาคม 2554 เวลา 00:00 น.

ประธานคณะกรรมการประกันภัยทางทะเลและโลจิสติกส์ (มารีน) กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมประกันภัยมารีนในปีนี้ว่า เบี้ยประกันภัยยังคงเติบโตได้ประมาณ 10-15% ตามการขยายตัวของการส่งออกและนำเข้าที่ยังขยายได้ดีอยู่ อาทิ ยางพาราที่มีราคาสูงขึ้นเป็นเท่าตัว ทำให้มูลค่าทุนประกันภัยเพิ่มขึ้น

แม้ญี่ปุ่นจะประสบปัญหาอยู่ส่งผลกระทบต่อตลาดส่งออกของไทย เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นหนึ่งตลาดส่งออกรายใหญ่ของไทย แต่ตลาดจีนและอินเดียที่มีการผลิตรถยนต์มากขึ้น ความต้องการบริโภคยางและอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับยางมีมากขึ้น เป็นตลาดส่งออกใหม่ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นสามารถชดเชยได้

อีกทั้งการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ในปีค.ศ.2015 หรือพ.ศ. 2559 เปิดเสรีในอาเซียนที่เริ่มบ้างแล้ว ไม่ใช่แค่การค้าเสรีเท่านั้นแต่ยังรวมถึงธุรกรรมต่างๆ ด้วย อย่างการค้าขายตามแนวชายแดนไทยกับประเทศต่างๆ มีสินค้าเข้าออกมากขึ้น ส่งผลดีมาถึงประกันมารีนเช่นกัน ขณะที่รถยนต์ที่วิ่งขนส่งสินค้าเริ่มทำประกันภัยความรับผิดต่อการขนส่ง (Carrier Liability) มากขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของประกันภัยมารีน

ตลาดประกันภัยมารีนยังคงแข่งขันรุนแรงเบี้ยประกันภัยปรับลดลง 10-20% เป็น ปกติเนื่องจากอัตราสินไหมทดแทน (Loss Ratio) ต่ำเฉลี่ยในรอบ 10-20 ปีที่ผ่านมาอยู่ประมาณ 30-40% เท่านั้นเทียบกับรถยนต์ที่สูงเกือบ 60% ทำให้มีกำไรจากการรับประกันมากสามารถลดเบี้ยลงได้ กอปรกับกรมธรรม์มารีนมีอายุสั้นระหว่าง 10-90 วันโดยความคุ้มครองจะสิ้นสุดเมื่อสินค้าถึงปลายทาง

อย่างไรก็ดี ตลาดประกันภัยมารีนยังคงอยู่ในมือของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีเบี้ยรับรวมมากที่สุด 10 อันดับแรก (ท็อปเทน) ที่มีส่วนแบ่งตลาด (มาร์เก็ตแชร์) รวมกัน 67% ของทั้งหมดเฉพาะบริษัทประกันภัยญี่ปุ่นที่ครองความเป็นเจ้าตลาดนี้อยู่มีส่วน แบ่งรวมกันถึง 37.8% หรือครึ่งหนึ่งของกลุ่มท็อปเทน ไล่ไปตั้งแต่บริษัท โตเกียวมารีนศรีเมืองประกันภัย บริษัท มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันส์ บริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย บริษัท สมโพธิ์ เจแปน ประกันภัย ซึ่งในปีที่ผ่านมา บริษัทประกันภัยญี่ปุ่นมีเบี้ยมารีนเติบโตเฉลี่ย 15-34%

ที่มา : สยามธุรกิจ