เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจ ประกันภัย (คปภ.) กล่าวว่า ธุรกิจ ประกันภัย เป็นธุรกิจที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของตัวเลขสถิติ การเกิดภัย ประสิทธิภาพในการประกอบธุรกิจ และอัตราดอกเบี้ยในตลาด การที่ธุรกิจ ประกันภัย มีความรู้ความเข้าใจในผลกระทบ ที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจ และธุรกิจ ประกันภัย ก็เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประกอบธุรกิจ สร้างภูมิคุ้มกันด้วยการบริหารจัดการ ลงทุนด้วยความระมัดระวัง และดำเนินนโยบายการดำเนินงานอย่างรอบคอบ
นอกจากนี้ภาคธุรกิจยังต้องเร่งพัฒนาบุคลากรขององค์กร ให้มีความรู้ ความสามารถมากขึ้น โดยเฉพาะฝ่ายตัวแทน หรือนายหน้า ที่จะต้องมีความรู้ และความเข้าใจในการ ประกันภัย โดยตัวแทนจะต้องเป็นผู้ได้รับใบอนุญาต เป็นนายหน้าประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย ที่ผ่านการอบรมจากสำนักงาน คปภ.หรือผ่านการอบรมจากสถาบัน หรือหน่วยงานที่สำนักงาน คปภ. ให้ความเห็นชอบ เพื่อให้ตัวแทน/นายหน้า ประกันภัย ได้มีการพัฒนาความรู้อย่างต่อเนื่อง และสามารถนำความรู้ดังกล่าวไป ให้คำแนะนำและบริการแก่ประชาชน รวมทั้งผู้เอา ประกันภัย อย่างถูกต้องเหมาะสม สอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชาชน ที่เปลี่ยนแปลงไปตามเศรษฐกิจและสังคมด้วย
ด้านประธานคณะกรรมการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า การเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปลายปี 2554 ถือเป็นบททดสอบถึงความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรม ประกันภัย กับการรับมือกับเหตุการณ์ความเสี่ยงที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ ประกันภัย ต้องนำบทเรียนต่างๆ มาทบทวนอย่างมาก เกี่ยวกับความผันผวน หรือความแปรปรวนของภูมิอากาศ รวมถึงความเสี่ยงต่างๆ จากโลกาภิวัตน์ ซึ่งการเชื่อมโยงกันทั้งหมดนี้ สามารถนำไปสู่การหยุดชะงักของธุรกิจ และธุรกิจ ประกันภัย ไทยจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว และกำหนดราคาที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
โดยปัจจัยเสี่ยงในปี 2556 ที่สำคัญประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพในระยะสั้น บนความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ เช่นอัตราเงินเฟ้อ ความไม่สมดุลของเงินบัญชีเดินสะพัด และความผันผวนของเงินทุนไหลเข้า เป็นต้น
ที่มา : อาร์วายทีไนน์